วันที่ 30 สิงหาคม ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพื่อหารือถึงการส่งไม้ต่อในการทำงานด้านเศรษฐกิจรวมถึงการจัดทำร่างนโยบายของรัฐบาลเพื่อแถลงต่อรัฐสภา

จากนั้น เวลา 12.50 น. นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีการหารือเรื่องของราคาพลังงาน รวมถึงประเด็นอื่นๆ ซึ่งนายสุพัฒนพงษ์ก็ได้ฝากฝังไว้หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือขั้นตอนในการลดราคาค่าไฟกับค่าน้ำมันดีเซล โดยจะมีประกาศหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกแน่นอน

เมื่อถามย้ำว่า หลังการประชุมครม. นัดแรกจะสามารถลดได้ทันทีแน่นอนใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ทันทีครับทันที ประกาศทันทีและขอดูขั้นตอนนิดหนึ่ง” ก่อนจะย้ำว่าทำงานไม่หยุด เพราะต้องดูนโยบายอื่นๆด้วย และถือว่า นายสุพัฒนพงษ์ให้ความกรุณาและยินดีส่งไม้ต่อให้ด้วยความราบรื่น

ทางด้านนายสุพัฒนพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการลดราคาพลังงานว่า เป็นเรื่องที่ต้องคุยกับหัวหน้าพรรค

เมื่อถามถึง นโยบายหลักที่เสนอต่อพรรค พท. ที่จะนำไปเป็นนโยบายร่วมของรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากกว่า ส่วนการพูดคุยอย่างเป็นทางการต้องให้ หัวหน้าพรรค รทสช.มาพูดคุยกันอีกครั้ง วันนี้เป็นการมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า มีอะไรจะส่งไม้ต่อไปถึงรัฐบาลใหม่ได้ การมาหารือวันนี้เป็นโอกาสที่ดีของรัฐบาลรักษาการจะมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่ามีอะไรจะส่งมอบ หรือส่งต่อความคิดเห็นใดๆ ไปถึงรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่ได้ขอรับทราบสิ่งที่รัฐบาลรักษาการ หรือรัฐบาลที่ผ่านมาได้ทำอะไรไว้บ้าง ส่วนจะสานต่อเรื่องอะไร จะดัดแปลง หรือทำให้ดีขึ้นก็เป็นนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่าจะพิจารณา และในการหารือ

“นายเศรษฐาก็รับทราบสิ่งต่างๆ ของรัฐบาลที่ทำมาแล้ว ถือเป็นการให้ข้อมูลระหว่างกันเพื่อให้รัฐบาลใหม่สามารถพิจารณานโยบายเดิมที่ทำอยู่แล้วไปพิจารณาต่อได้โดยไม่ต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โดยข้อคิดเห็นต่างๆ มีการคุยกันครั้งนี้ก็คงจะมีการไปพิจารณาในรายละเอียดอีกที” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว

เมื่อถามย้ำว่า มีการหารือเกี่ยวกับการจัดทำนโยบาย ร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อแถลงต่อรัฐสภา นายสุพัฒนพงษ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เพียงแค่บอกว่า ไม่ได้คุยอะไรเป็นพิเศษในลักษณะของการหารือด้านนโยบาย เพราะคงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่นำข้อมูลต่างๆ ไปพิจารณา