จับตา “ดีเอสไอ” เร่งสอบ “คดีอั้งยี่–ฟอกเงิน ส.ว.” พบเชื่อมโยงกว่า 1,200 คน ครอบคลุม 45 จังหวัด
จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ-DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยเฉพาะคดีพิเศษที่ 24/2568 การสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำความผิดฐานอั้งยี่ฯ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ซึ่งเป็นความคืบหน้าของการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.68 จนถึงปัจจุบัน โดยจากตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์ พบว่ามีผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภา(สว.)เกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด พบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน
ทั้งนี้ เนื่อง จากคดีมีพยานบุคคลที่เกี่ยว ข้องค่อนข้างมาก อธิบดีฯ จึงได้มอบหน่วยงานภายในสังกัดรวม 10 กองคดีที่เป็นคณะพนักงานสอบสวน เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ ซึ่งที่ผ่านมาคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องไปทั้งสิ้น 90 ปาก อย่างไรก็ตาม ต่อมาพบว่าบางรายจังหวัด อาทิ จ.บุรีรัมย์ พยานกลับไม่ให้ความร่วมมือเข้าพบพนักงานสอบสวน ตามที่มีการรายงานข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น
ล่าสุด วันที่ 30 ก.ย.68 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีตรวจสอบขบวนการอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. เปิดเผยว่า มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ไปสมัครวุฒิสภา (สว.) แต่กลับไม่ได้ลงคะแนนให้ตัวเอง และไปเลือกลงคะแนนให้บุคคลอื่นที่จัดตั้งขึ้น หรือเรียกว่าเป็นการพลีชีพ หรือการเป็นเพียงโหวตเตอร์ จึงต้องสอบสวนมาให้ได้ซึ่งข้อเท็จจริง อย่างไรก็ดี ภาพรวมการสอบสวนปากคำพยานตอนนี้ยังคงไม่ครบเสร็จสิ้นทั้ง 1,200 ราย แต่ก็ยังเดินหน้าทยอยสอบปากคำต่อเนื่อง จนกว่าจะถึงขั้นตอนพิจารณาออกหมายเรียกผู้ต้องหา เนื่องด้วยในการสอบปากคำพยานที่ผ่านมา ก็มีพยานบางส่วนยอมรับสารภาพให้การซัดทอดเป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดี พนักงานสอบสวนจึงต้องรวบรวมถ้อยคำให้การทั้งหมดมาประกอบการพิจารณากับพยานหลักฐาน
นอกจากนี้ ยังต้องดูในส่วนของ กกต. ที่อยู่ระหว่างดำเนินการสำนวนคดีฮั้ว สว. ควบคู่ไปด้วย เพราะว่าก็มีผลเชื่อมโยงกันกับคดีอาญาที่เป็นมูลฐานมาจากกฎหมายเลือกตั้งดังกล่าว ทั้งนี้ ในส่วนของสำนวนคดีฮั้ว สว.ของ กกต. เองทราบว่าที่ผ่านมาก็มีการเรียกสอบสวนปากคำเพิ่มเติม
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยอีกว่า ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. มีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 4 ก.ย.68 ส่งถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอรับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน โดยได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 3 ราย (เดิม) ไปร่วมนั้น ก็เพื่อดำเนินการไต่สวนเรื่องคัดค้านการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศ กรณีมีการกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1)
โดยครั้งนี้จะไม่ใช่การสอบสวนผู้ถูกกล่าวหากลุ่มเดิมก่อนหน้านี้ 229 ราย ได้แก่ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตัวจริง จำนวน 138 ราย กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และเครือข่ายของพรรค จำนวน 91 ราย ซึ่งจะเป็นคนกลุ่มใหม่ที่ทาง กกต. ขยายผลพบเจอว่ามีลักษณะการฮั้ว สว.เช่นเดียวกัน ซึ่งก็เป็นอำนาจการพิจารณาของ กกต. ว่าจะดำเนินการสอบสวน “คนกลุ่มใหม่” เข้าสู่สำนวนกฎหมายเลือกตั้งอย่าง ไร โดยจะตั้งเป็นเรื่องใหม่ หรือเรื่องต่อเนื่องกับสำนวน 229 รายแรกหรือไม่
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวอีกว่า สำหรับสำนวนคดีอาญา อั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ที่ดีเอสไอดำเนินการนั้น ก็ต้องดูประกอบกับสำนวนคดีฮั้ว สว. ตามกฎหมายเลือกตั้งที่ กกต. ดำเนินการอยู่ด้วย และก็ต้องรับฟังพนักงานอัยการประกอบกันด้วย เพราะทั้งคดีอาญาที่ดีเอสไอดำเนินการ กับคดีกฎหมายการเลือกตั้งที่ กกต. ดำเนินการมันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว