LP.8.1 ผงาด! XEC ถอยร่น – PA.1 น่าจับตา อัปเดตสมรภูมิกลายพันธุ์โควิดจาก Center for Medical Genomics

วันที่ 8 พ.ค.68 เพจเฟซบุ๊ก  Center for Medical Genomics โพสต์ข้อความระบุว่า อัปเดตภูมิทัศน์สมรภูมิสายพันธุ์โควิด: LP.8.1 ผงาด XEC ถอยทัพ และ PA.1 น่าจับตา

ภาพรวม
___________________________
การติดตามวิวัฒนาการของ SARS-CoV-2 ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง สายพันธุ์ LP.8.1 ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก JN.1 ผ่าน KP.1.1.3 ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแพร่เชื้อที่เพิ่มขึ้นและการหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี กลายเป็นสายพันธุ์ที่แพร่หลายในหลายภูมิภาคในช่วงต้นปี 2025 ในขณะที่ XEC ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสม ก็เคยมีสัดส่วนที่สำคัญแต่เริ่มมีแนวโน้มลดลงในบางพื้นที่เมื่อเผชิญกับการแข่งขันจาก LP.8.1 ทั้งสองสายพันธุ์นี้ยังไม่พบว่าก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ โอมิครอน อื่นๆ และวัคซีนปัจจุบันยังคงคาดว่าจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรครุนแรง


สำหรับสายพันธุ์ PA.1 แม้จะสืบเชื้อสายมาจาก KP.1.1.3 เช่นเดียวกับ LP.8.1 แต่แผนภูมิสายวิวัฒนาการแสดงให้เห็นว่ามีเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างออกไป ปัจจุบัน PA.1 มีสัดส่วนการระบาดต่ำ แต่ตำแหน่งที่แตกต่างบนแผนภูมิทำให้เป็นที่น่าจับตามองสำหรับการเฝ้าระวังต่อไป
การอุบัติขึ้นของสายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น LP.8.1 และ XEC เป็นเครื่องเตือนใจว่า SARS-CoV-2 ยังคงปรับตัวอย่างต่อเนื่อง การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมอย่างเข้มแข็ง การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ และการปรับปรุงมาตรการทางสาธารณสุข รวมถึงวัคซีน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดผลกระทบของการระบาดในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันองค์การอนามัยโลกจะประเมินความเสี่ยงโดยรวมจากสายพันธุ์อย่าง LP.8.1 ว่าอยู่ในระดับต่ำ แต่ความตื่นตัวและการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นหัวใจสำคัญ 
___________________________
รายละเอียด
___________________________
การเฝ้าระวังเชื้อ SARS-CoV-2: สายพันธุ์ LP.8.1, XEC และการพิจารณาสายพันธุ์ PA.1 ในเชิงวิวัฒนาการ
เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง กระบวนการกลายพันธุ์ตามธรรมชาตินี้ส่งผลให้เกิดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้น การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมระดับโลก ซึ่งดำเนินการโดยองค์กรต่างๆ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลผ่าน GISAID มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจจับ ติดตาม และประเมินลักษณะของสายพันธุ์เหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที  การเฝ้าระวังนี้จำเป็นอย่างยิ่งต่อการกำหนดนโยบายสาธารณสุข การพัฒนาวัคซีน และการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของไวรัส เช่น ความสามารถในการแพร่เชื้อ ความรุนแรงของโรค หรือการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน  บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสายพันธุ์หลักที่น่าจับตามองคือ LP.8.1 และ XEC รวมถึงวิเคราะห์สายพันธุ์ PA.1 ตามข้อมูลจากแผนภูมิสายวิวัฒนาการล่าสุดจาก CDC 
การที่เชื้อ SARS-CoV-2 ยังคงมีวิวัฒนาการอย่างไม่หยุดยั้งบ่งชี้ว่าไวรัสนี้ไม่น่าจะถูกกำจัดให้หมดไปได้ในเร็ววัน และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวต่อภูมิคุ้มกันของประชากรต่อไป ซึ่งหมายความว่ามีความจำเป็นต้องเฝ้าระวังในระยะยาวและอาจต้องปรับปรุงมาตรการรับมืออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ประสิทธิภาพและความครอบคลุมของการเฝ้าระวังทางพันธุกรรมทั่วโลกส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อสายพันธุ์ใหม่ๆ การลดลงของการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสในระดับโลก  อาจสร้างจุดบอดในการเฝ้าระวัง และอาจทำให้การระบุสายพันธุ์ใหม่ที่น่ากังวลล่าช้าออกไป ส่งผลให้การประเมินผลกระทบและความรุนแรงของสายพันธุ์ใหม่มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น 
สายพันธุ์หลักที่น่าจับตามอง: LP.8.1 และ XEC
ในช่วงต้นปี 2025 มีสายพันธุ์ย่อยของ SARS-CoV-2 หลายสายพันธุ์ที่อยู่ภายใต้การเฝ้าระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง LP.8.1 และ XEC ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลวัตการแพร่ระบาดที่น่าสนใจ
___________________________
LP.8.1: สายพันธุ์ย่อยเด่นจากตระกูล JN.1
___________________________
LP.8.1 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่สืบทอดมาจากเชื้อ โอมิครอน สายพันธุ์ JN.1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาจากสายพันธุ์ย่อย KP.1.1.3  ตรวจพบครั้งแรกประมาณเดือนกรกฎาคม 2024  และมีการเพิ่มสัดส่วนการระบาดทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นสายพันธุ์หลักหรือสายพันธุ์สำคัญในหลายภูมิภาคภายในต้นปี 2025  องค์การอนามัยโลกได้จัดให้ LP.8.1 เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง (Variant Under Monitoring - VUM) ในเดือนมกราคม 2025 


ลักษณะทางพันธุกรรมที่สำคัญของ LP.8.1 คือมีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมหลายตำแหน่งบนโปรตีนหนาม (Spike protein) เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อนหน้าอย่าง KP.3.1.1 และ XEC การกลายพันธุ์เหล่านี้รวมถึง S31-, F186L, R190S, R346T, V445R และ K1086R  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกลายพันธุ์ V445R ได้รับการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเพิ่มความสามารถในการจับกับตัวรับ ACE2 ของเซลล์มนุษย์  ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแพร่เชื้อที่สูงขึ้น องค์การอนามัยโลกประเมินว่า LP.8.1 มีความได้เปรียบในการเติบโต (growth advantage) ในระดับปานกลาง และสูงกว่า XEC ซึ่งคาดว่าเกิดจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการจับกับ ACE2 


ในด้านการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน ผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการชี้ว่า LP.8.1 มีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันชนิดสารน้ำ (humoral immune evasion) ได้ดี เทียบเท่ากับ XEC และสูงกว่า JN.1  อย่างไรก็ตาม คาดว่าวัคซีนรุ่นปัจจุบัน (เช่น วัคซีนที่พัฒนาโดยอ้างอิง JN.1 หรือ KP.2) จะยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจาก LP.8.1 ได้  จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีรายงานที่ชี้ชัดว่า LP.8.1 ก่อให้เกิดความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ของ โอมิครอน ที่แพร่ระบาดอยู่  และองค์การอนามัยโลกประเมินว่าความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อสาธารณสุขจาก LP.8.1 อยู่ในระดับต่ำทั่วโลก 


ข้อมูลสัดส่วนการระบาดในช่วงต้นปี 2025 (มกราคม-มีนาคม) แสดงให้เห็นว่า LP.8.1 กลายเป็นสายพันธุ์หลักหรือมีสัดส่วนสูงในหลายพื้นที่ เช่น สหรัฐอเมริกา (ประมาณ 47%-69% ในบางรายงาน ), ไอร์แลนด์ (42.5% ในช่วงสัปดาห์ที่ 11-15 ) และออนแทรีโอ แคนาดา (คาดการณ์ที่ 33.9%-40.8% ภายในปลายเดือนเมษายน )
การกลายพันธุ์ V445R ใน LP.8.1 ที่เพิ่มความสามารถในการจับกับ ACE2 เป็นปัจจัยหนึ่งที่น่าจะส่งเสริมความสามารถในการแพร่เชื้อ  อย่างไรก็ตาม การที่ LP.8.1 แสดงความสามารถในการติดเชื้อในเซลล์เพาะเลี้ยง (pseudovirus assays) ต่ำกว่า JN.1  แต่กลับแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในประชากรจริง ชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จของไวรัสในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านการติดเชื้อในหลอดทดลองเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ เช่น ความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกัน (ซึ่ง LP.8.1 ทำได้ดี ) และอาจรวมถึงการกลายพันธุ์ในส่วนอื่นนอกโปรตีนหนามที่ส่งผลต่อคุณลักษณะของไวรัส นอกจากนี้ ความแตกต่างของอัตราการแพร่กระจายของ LP.8.1 ในแต่ละประเทศยังสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของ "ภูมิคุ้มกันที่ถูกประทับตรา" (imprinted immunity) ในประชากรเจ้าบ้าน ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติการติดเชื้อและการได้รับวัคซีนก่อนหน้านี้  สิ่งนี้อธิบายได้ว่าเหตุใดสายพันธุ์หนึ่งจึงอาจแพร่หลายในภูมิภาคหนึ่งมากกว่าอีกภูมิภาคหนึ่ง แม้ว่าคุณลักษณะของไวรัสเองจะคล้ายคลึงกันก็ตาม
___________________________
XEC: สายพันธุ์ลูกผสมที่น่าสนใจ
___________________________
XEC เป็นสายพันธุ์ลูกผสม (recombinant) ของ SARS-CoV-2 ซึ่งเกิดจากการรวมพันธุกรรมของ โอมิครอน สองสายพันธุ์ย่อยคือ KS.1.1 และ KP.3.3  ตรวจพบครั้งแรกราวเดือนมิถุนายน 2024  และถูกจัดเป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง (VUM) โดย WHO  XEC มีการกลายพันธุ์ที่สำคัญ เช่น S:T22N, S:F59S, S:F456L, S:Q493E และ S:V1104L 


XEC มีคุณสมบัติในการแพร่เชื้อสูงเช่นเดียวกับสายพันธุ์ โอมิครอน อื่นๆ  อาการโดยทั่วไปคล้ายกับ โอมิครอน สายพันธุ์อื่นๆ คือมักส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบน (เช่น เจ็บคอ ไอ อ่อนเพลีย คัดจมูก) และไม่พบว่ามีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า  วัคซีนโควิด-19 ในปัจจุบันยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจาก XEC  และมีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันใกล้เคียงกับ LP.8.1 


ในช่วงปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025 XEC มีสัดส่วนการระบาดที่สำคัญในหลายพื้นที่ เช่น 14-22% ในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 1-2 ของปี 2025 สัดส่วนของ XEC เริ่มมีแนวโน้มลดลงในบางพื้นที่ เช่น ไอร์แลนด์ (15% ในช่วงสัปดาห์ที่ 11-15 ลดลงจาก 53.3% ) และออนแทรีโอ  โดยมักถูกแทนที่ด้วย LP.8.1
การเกิดขึ้นของ XEC ในฐานะสายพันธุ์ลูกผสมของ โอมิครอน สองสายพันธุ์ย่อย  ตอกย้ำว่าการแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนพันธุกรรม (recombination) เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการวิวัฒนาการของ SARS-CoV-2 นอกเหนือจากการกลายพันธุ์เฉพาะจุด ซึ่งอาจทำให้ไวรัสสามารถรวมชุดคุณสมบัติใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว การเพิ่มขึ้นและลดลงของสัดส่วน XEC ในขณะที่ LP.8.1 เริ่มแพร่หลายมากขึ้น  แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันในเชิงวิวัฒนาการของไวรัส แม้แต่สายพันธุ์ที่ประสบความสำเร็จก็อาจถูกแทนที่โดยสายพันธุ์ใหม่ที่มีความได้เปรียบเล็กน้อยในด้านการแพร่เชื้อ การหลบหลีกภูมิคุ้มกัน หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ภายใต้สภาวะภูมิคุ้มกันของประชากรในขณะนั้น
___________________________
การพิจารณาสายพันธุ์ PA.1 ในเชิงวิวัฒนาการที่น่าติดตาม
___________________________
สำหรับสายพันธุ์ PA.1 นั้น ข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะและการกลายพันธุ์ยังต้องการการยืนยันเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลแผนภูมิสายวิวัฒนาการ (phylogenetic tree) ที่ได้รับมาสำหรับช่วงเวลาดังกล่าว ระบุว่า PA.1 เป็นสายพันธุ์ที่สืบเชื้อสายมาจาก KP.1.1.3 ซึ่งเป็นเชื้อสายบรรพบุรุษเดียวกันกับ LP.8.1 ที่เป็นสายพันธุ์หลักในปัจจุบัน 


สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่า PA.1 จะมีบรรพบุรุษร่วมกันกับ LP.8.1 ในระยะใกล้ (คือ KP.1.1.3) แต่แผนภูมิสายวิวัฒนาการแสดงให้เห็นว่า PA.1 ได้แยกตัวออกไปตามเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างจากสายพันธุ์หลักอื่นๆ ที่หมุนเวียนอยู่ในขณะนั้น รวมถึงแตกต่างจาก LP.8.1 ด้วย กล่าวคือ แม้จะมาจากจุดเริ่มต้นเดียวกันในระยะหลัง แต่การกลายพันธุ์ที่สะสมต่อมาทำให้ PA.1 มีตำแหน่งที่แยกออกไปบนแผนภูมิ


ข้อมูลการประมาณการแบบ Nowcast สำหรับช่วงปลายเดือนเมษายน 2025 ชี้ว่า PA.1 มีสัดส่วนการระบาดที่ค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ประมาณ 2% (โดยมีช่วงความเชื่อมั่น 95% ที่ 0-5%) ซึ่งน้อยกว่า LP.8.1 และ XEC อย่างมีนัยสำคัญ


โดยสรุป แม้ว่า PA.1 จะมีความเกี่ยวข้องทางสายพันธุกรรมกับ LP.8.1 ผ่านบรรพบุรุษ KP.1.1.3 แต่เส้นทางวิวัฒนาการที่ปรากฏบนแผนภูมิสายวิวัฒนาการนั้นมีความแตกต่างจากสายพันธุ์หลักอื่นๆ ที่หมุนเวียนอยู่ ด้วยสัดส่วนการระบาดที่ต่ำในปัจจุบัน PA.1 ยังไม่ถือเป็นภัยคุกคามหลัก แต่ตำแหน่งที่แตกต่างบนแผนภูมิทำให้เป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการเฝ้าระวังทางพันธุกรรมต่อไป เพื่อติดตามว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือมีศักยภาพในการแพร่กระจายเพิ่มขึ้นในอนาคตหรือไม่
___________________________
บริบททางวิวัฒนาการในภาพรวมและผลกระทบต่อสาธารณสุข
___________________________
สายพันธุ์ JN.1 ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ KP.1.1.3 (ที่เป็นต้นตอของ LP.8.1 และ PA.1)  และสายพันธุ์อื่นๆ ที่สำคัญในปัจจุบัน ถือเป็นตัวอย่างของสายพันธุ์ "ผู้ก่อตั้ง" ที่ประสบความสำเร็จและแตกหน่อออกเป็นสายพันธุ์ย่อยจำนวนมากที่มีลักษณะหลากหลาย JN.1 เองก็เป็นลูกหลานของ BA.2.86 ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญ  ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือการเกิด "วิวัฒนาการแบบบรรจบ" (convergent evolution) โดยการกลายพันธุ์บางตำแหน่ง (เช่น F456L, R346T) ปรากฏขึ้นอย่างอิสระในสายพันธุ์ย่อยต่างๆ ของ JN.1  ซึ่งบ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจให้ความได้เปรียบแก่ไวรัสภายใต้แรงกดดันจากภูมิคุ้มกันในปัจจุบัน


การเกิดขึ้นของสายพันธุ์อย่าง LP.8.1 และ XEC รวมถึงวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องภายในตระกูล JN.1 ตอกย้ำถึงความสามารถของไวรัสในการปรับตัวอย่างไม่หยุดยั้ง  สิ่งนี้ทำให้การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมที่เข้มแข็งและต่อเนื่อง  รวมถึงการประเมินกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขเป็นระยะ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงองค์ประกอบของวัคซีน  เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง วัฏจักรต่อเนื่องของวิวัฒนาการของไวรัส (สายพันธุ์ใหม่ที่มีการกลายพันธุ์เพื่อหลบหลีกภูมิคุ้มกัน) และการตอบสนองของมนุษย์ (วัคซีน, ภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อครั้งก่อน) เปรียบเสมือน "การแข่งขันทางอาวุธ" ทางวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง


แม้ว่าการให้ความสำคัญส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่การกลายพันธุ์ของโปรตีนหนาม เนื่องจากบทบาทในการเข้าสู่เซลล์และเป็นเป้าหมายของแอนติบอดี แต่บทบาทที่เป็นไปได้ของการกลายพันธุ์นอกโปรตีนหนามในการมีอิทธิพลต่อลักษณะของไวรัส (ดังที่อาจเป็นกรณีของ LP.8.1 ) ก็ไม่ควรมองข้าม การเฝ้าระวังทางพันธุกรรมทั้งจีโนมจึงมีความสำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่การถอดรหัสพันธุกรรมเฉพาะส่วนโปรตีนหนาม
___________________________
https://covid.cdc.gov/covid-data-tracker/...

 

 

ขอบคุณข้อมูล :เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics