บุญมี แต่กรรมมาบัง ทำเอา “ชาญ พวงเพ็ชร์” ที่แม้จะสามารถ “คว่ำ” คู่แข่งคนสำคัญ ลงได้ กลายเป็น “ผู้ชนะ” ในศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)   แต่จนถึงบัดนี้ ยังต้องลุ้นว่าจะมีโอกาสทำหน้าที่นายกอบจ.ปทุมธานี คนใหม่หรือไม่

ชัยชนะของชาญ ที่หักปากกาเซียน หักล้างโพลสำนักดัง เอาชนะ “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง แชมป์เก่า ผู้สมัครอิสระได้สำเร็จ และห้วงเวลานี้น่าจะเป็นโอกาสที่ “พรรคเพื่อไทย” ได้ร่วมกันฉลองความสำเร็จ โดยเฉพาะ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ที่หมายมั่นปั้นมือว่าสนามท้องถิ่นเมืองปทุมฯ รอบนี้ แพ้ไม่ได้ เพราะ บิ๊กแจ๊ส กลายเป็น “คนเคยรัก” ไปแล้ว

ทว่าความเป็นจริงแล้วที่ปรากฏ   คือชาญ ชนะเลือกตั้ง นายกอบจ.ปทุมธานี แต่ “คดีความ” ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ได้อยู่ที่ศาลอาญาทุจริต ภาค 1 ประทับรับฟ้อง ไปแล้ว ได้กลับมาเป็น “บ่วง” รัดตัวชาญ  ในวันนี้ มิหนำซ้ำ ปัญหาดังกล่าวกำลังลุกลามบานปลาย กระทบไปถึงพรรคเพื่อไทย รวมถึงทำให้ อดีตนายกฯทักษิณ  ถูกตั้งคำถามในฐานะ “ผู้มีอิทธิพล” เหนือพรรค ว่าแสดงความรับผิดชอบต่อ “ความเสียหาย” ที่มีส่วนสร้างขึ้นมาด้วยหรือไม่ และอย่างไร

ทั้งทักษิณ และพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ “มือกฎหมาย” ของพรรค กำลังทำผิดในลักษณะที่เรียกว่า “ซ้ำซาก”  ไม่หลาบจำกับความผิดพลาด!

เพราะบทเรียนจากการมี “ใบสั่ง”  จาก “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ไปยัง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯให้แต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” ทนายความส่วนตัวที่รับใช้ใกล้ชิดทักษิณ มาตั้งแต่คราว “คดีซุกหุ้น” ให้นั่งเป็น “รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี”  ทั้งที่พิชิต เองถูกตั้งคำถามว่า  “คุณสมบัติ” ขัดต่อ “รัฐธรรมนูญ” หรือไม่

เงื่อนปมปัญหาจากการแต่งตั้งพิชิต ในวันวาน ได้นำพาให้นายกฯเศรษฐา ต้องเผชิญกับ “วิบาก” เนื่องจากเขาถูก “กลุ่ม 40 สว.” ยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภา ที่ผ่านมาให้ส่งเรื่องไปยัง “ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้มีคำวินิจฉัย “ถอดถอน” ออกจากความเป็นรัฐมนตรี

ทั้งที่เรื่องนี้ เศรษฐา คือผู้รับบัญชาจาก “บ้านจันทร์ส่องหล้า” แต่สิ่งที่ตามมาคือการเอา “เก้าอี้นายกฯ” ของตัวเอง ไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต้องรอลุ้นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะออกมาอย่างไร ก่อนเดือนกันยายนนี้

การดึงดัน ส่งใบสั่งให้นายกฯเศรษฐา ตั้งทนายความส่วนตัว เข้าไปนั่งในรัฐบาล ทั้งที่มือกฎหมายของพรรคเองแม้จะรู้ดีแต่ไม่อาจคัดค้านความประสงค์ “เจ้าของพรรค” กลายเป็น “จุดอ่อน” ที่พา “ขุน” อย่างเศรษฐา ถูกดึงเข้าสู่ “แดนสังหาร”  ทั้งที่ทักษิณ เองย่อมรู้ดีว่า พิชิต เคยมีปัญหาเรื่อง “ถุงขนม 2 ล้าน” ระหว่างการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ ของศาลฎีกาคดีแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำให้ศาลมีคำสั่งจำคุกพิชิต 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานละเมิดอำนาจศาล

ซึ่ง “ฝ่ายกฎหมาย” ของพรรคเพื่อไทย พยายามสู้มาตลอดว่า “คำสั่ง” ของศาลแต่ไม่ใช่ “คำพิพากษา” จึงไม่ทำให้พิชิต ขาดคุณสมบัติ แต่บทสรุปสุดท้าย เจ้าตัวต้องตัดสินใจ “ลาออก” จากตำแหน่งรัฐมนตรี ทิ้งให้ เศรษฐา ต้องรับมือกับคดีถอดถอนตามลำพังในวันนี้

มาถึงกรณีเงื่อนปมปัญหาของชาญ พวงเพชร์ ที่แม้จะชนะศึก แต่สงครามนี้ยังไม่จบ เพราะฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย “ปล่อยหลุด” ให้ชาญ สวมเสื้อพรรคลงสนาม ทั้งที่รู้ดีว่าผู้สมัครรายนี้มีคดีทุจริตการจัดซื้อถุงยังชีพเมื่อครั้งที่ เกิดน้ำท่วมใหญ่ในจังหวัดปทุมธานี เมื่อปี 2554 ซึ่งคณะกรรมการป.ป.ช.เคยมีมติชี้มูลความผิด เมื่อปี 2564 และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1 มีคำสั่งประทับฟ้องคดีนี้แล้ว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

และมีรายงานว่า มีการนัดไต่สวนสืบคดีในช่วงกลางเดือน ก.ค.67 นี้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่า ชาญ ถึงแม้จะเป็นผู้ชนะในสังเวียน แต่ไม่สามารถขึ้นไปรับตำแหน่งได้ เพราะอย่าลืมว่า “ปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา บอกแล้วว่า เมื่อเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เมื่อใด ก็ต้อง “หยุด” เมื่อนั้นโดยอัตโนมัติ

จากประเด็นปัญหาที่มีคดีความและข้อกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงยิ่งทำให้สถานการณ์ของชาญ ยิ่งยากลำบาก และมองไม่เห็นทางว่า เขาจะเข้าไปทำหน้าที่นายกอบจ.ปทุมฯคนใหม่ได้อย่างไร อีกทั้งยังทำให้พรรคเพื่อไทยถูกสังคมจี้ถาม ว่าจะรับผิดชอบกับการคัดสรรคนมาให้พี่น้องประชาชนลงคะแนนครั้งนี้เช่นไร 

แต่ถึงกระนั้น หากมองย้อนกลับไปอาจพบว่า เงื่อนไขหนึ่งคือการที่พรรคเพื่อไทย ไม่มี “ผู้เล่น” ที่จะลงสนามแล้วมาสู้กับแชมป์เก่าอย่าง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ชนิดที่จะเรียกว่า “มีลุ้น” ทว่าการที่ชาญจะชนะบิ๊กแจ๊ส ได้แต่กลับถูกประเมินว่า ในความเป็นจริงแล้ว พรรคเพื่อไทยกำลังประสบกับความพ่ายแพ้ หรือไม่

เนื่องจากพรรคเพื่อไทยใช้วิธี “ระดม 8 บ้านใหญ่” เมืองปทุมฯ ลงไปช่วยชาญ กวาดคะแนน เช่นเดียวกันกับที่ ทักษิณ ออกโรงหนุนด้วยตัวเองชนิด “ซึ่งหน้า” ส่งทั้ง “พานทองแท้ ชินวัตร” และ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไปลุยหาเสียง

หมายความว่า เป็นการ “เทหมดหน้าตัก” เปิดหน้าสู้กันทุกทาง เพื่อดันชาญให้คว่ำบิ๊กแจ๊ส แต่ยังกลายเป็นว่าชาญ ชนะบิ๊กแจ๊สไปแค่ “หลักพัน”  อยู่ที่ 1,969 คะแนน ทิ้งห่างแค่หายใจรดต้นคอเท่านั้น ทำให้เกิดคำถามว่าแท้จริงแล้ว ชาญ เอาชนะศึกครั้งนี้ได้จริงอย่างนั้นหรือ ?

นักวิเคราะห์การเมืองหลายคนประเมินในทิศทางที่ไม่แตกต่างกันนัก ว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้พรรคเพื่อไทย ต้องสู้ผ่าน “ตัวแทน” เพื่อทวงสนามเมืองปทุมฯ ครั้งนี้ มาจาก ผลพวงจากสนามเลือกสส.เมื่อปี 2566 เมื่อ “พรรคก้าวไกล” ล้มแชมป์ อย่างเพื่อไทย โดยกวาดสส.ไปได้ถึง 6 ที่นั่ง เหลือเอาไว้ให้พรรคเพื่อไทย 1 ที่นั่งเท่านั้น

หมายความว่า พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ พรรคก้าวไกล และพรรคภูมิใจไทย ที่แม้จะไม่ได้สส.ปทุมฯ แต่มีฐานคะแนนจากครั้งนั้นอยู่ที่ 1.2 แสนคะแนน ส่วนก้าวไกล อยู่ที่ 2.7 แสนคะแนน และเพื่อไทย ได้ 2 แสนคะแนน แม้การเลือกตั้งระดับนายกอบจ.จะถูกมองว่าเป็นเรื่อง “ท้องถิ่น”

แต่อย่าลืมว่า ความเปลี่ยนแปลงจากสนามเลือกตั้งสส.ในปี 2566 คือจุดเปลี่ยน ที่ “ฝั่งตรงข้าม” นำมา “ต่อยอด” และเมื่อรอบนี้ พรรคก้าวไกลไม่ส่งผู้สมัครลงสนาม แต่มีรายงานว่า คะแนนเสียงได้ถูกเทไปหนุนบิ๊กแจ๊ส เมื่อผนวกกับคะแนนเดิมที่บิ๊กแจ๊ส มีอยู่เดิม จึงทำให้ ชาญ ที่สวมเสื้อพรรคเพื่อไทย เอาชนะไปได้  ชนิด “หืดขึ้นคอ” ทิ้งห่างไม่ถึง 2 พันคะแนนอย่างที่เห็น

เดิมที เมื่อประกาศผลการเลือกตั้งนายกอบจ.ปทุมฯ จบลง ชัยชนะ ของชาญ  น่าจะเป็น “เครื่องมือ” กู้หน้าให้กับ ทักษิณ ที่เพิ่งพ่ายแพ้ “พรรคภูมิใจไทย” จาก “ศึกสภาสูง” เพราะทักษิณ ถูกเย้ยเยาะว่า “สิ้นมนต์ขลัง” มาหมาดๆ  แต่ที่สุดแล้ว สถานการณ์ในวันนี้ ดูเหมือนว่า ทักษิณกำลังพ่ายแพ้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ทั้งเกมใน “สภาสูง” มาถึง “การเมืองท้องถิ่น”

ยังไม่รวมที่หลังจากนี้จะถูก “จี้” ให้แสดงความรับผิดชอบ ว่า ทำไมถึงชอบ เลือกคนผิด มาใช้งานใหญ่ ทั้งพิชิต ชื่นบาน มาถึง ชาญ พวงเพ็ชร์ !