ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ เสียงกระซิบในแวดวงการเมืองเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ถึงความเป็นไปได้ที่ทั้งสองพรรคอาจ “แตกหัก” ท่ามกลางแรงกดดันจากกระแสสังคม และผลประโยชน์ทางการเมืองที่ไม่ลงตัว
หลังการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยซึ่งเคยตั้งเป้าจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวต้องเผชิญกับข้อจำกัดจากการเมืองสองขั้ว ทำให้จำเป็นต้องจับมือกับพรรคภูมิใจไทย รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก
พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคลำดับ 3 (จากจำนวน ส.ส.) จึงมีบทบาทสำคัญในการแบ่งอำนาจบริหาร ทั้งในแง่กระทรวงหลัก เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และตำแหน่งสำคัญอื่น ๆ
ความขัดแย้งเชิงนโยบายที่สะสม
แม้ในช่วงแรกจะดูเหมือนความร่วมมือราบรื่น แต่ในเชิงลึก มีความขัดแย้งเชิงนโยบายที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง เช่น นโยบายกัญชาเสรีที่ภูมิใจไทยผลักดันหนัก แต่เพื่อไทยพยายามจำกัดกรอบให้ชัดเจน นโยบายเศรษฐกิจที่เพื่อไทยเน้น “ดิจิทัลวอลเล็ต” ขณะที่ภูมิใจไทยให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก การบริหารอำนาจในพื้นที่ โดยเฉพาะการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง รวมถึงนโยบายเอนเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ และคดีฮั้วส.ว.ซึ่งหลายภาคส่วนเห็นสอดคล้องกันว่าเป็นชนวนสะสมที่ทำให้รอยร้าวเริ่มปริแตก
ปัจจัยที่อาจทำให้ภูมิใจไทยแตกหักจากเพื่อไทย
1.การตอบสนองฐานเสียง ภูมิใจไทยมีฐานเสียงหลักในภาคอีสานและภาคใต้ตอนบน ซึ่งต้องตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างเร่งด่วน การที่นโยบายของเพื่อไทยบางเรื่องไม่สอดคล้องกับความต้องการของฐานเสียงเหล่านี้ ทำให้ภูมิใจไทยเริ่มต้องแสดงท่าทีเป็นอิสระมากขึ้น
2.การแย่งชิงพื้นที่ทางการเมือง ทั้งสองพรรคต่างมีเป้าหมายขยายฐานเสียงในภาคอีสานและภาคกลาง ซึ่งทำให้ในหลายพื้นที่เกิดการแข่งขันระหว่างกันอย่างดุเดือด การทับซ้อนผลประโยชน์ในระดับพื้นที่จึงสร้างความตึงเครียดในระดับแกนนำพรรค
3.ความขัดแย้งในการจัดสรรงบประมาณ งบประมาณที่จัดสรรให้แต่ละกระทรวงกลายเป็นอีกหนึ่งชนวนเหตุสำคัญ โดยเฉพาะงบกระทรวงคมนาคม ที่ถูกเพื่อไทยเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้ภูมิใจไทยรู้สึกว่าถูกลดบทบาท
4.สถานการณ์การเมืองรอบนอก ปัจจัยภายนอก เช่น ความเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกล ความไม่พอใจของภาคประชาชนต่อรัฐบาล และแนวโน้มเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า อาจทำให้ภูมิใจไทยต้องปรับยุทธศาสตร์เพื่อรักษาอัตลักษณ์และคะแนนนิยม
สถานการณ์หลังการแตกหัก: รัฐบาลสั่นคลอนหรือไม่?
1.สมดุลเสียงในสภา หากภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาลจริง รัฐบาลเพื่อไทยจะสูญเสียเสียงจำนวนมาก ทำให้เสียงข้างมากในสภาเหลือน้อยเกินไป อาจต้องหาพรรคอื่นเข้ามาเสริม หรือไม่ก็ต้องเผชิญแรงกดดันให้ยุบสภา
2.ความเป็นไปได้ของรัฐบาลเสียงข้างน้อย หากไม่มีพันธมิตรใหม่มาสนับสนุน เพื่อไทยอาจต้องบริหารในรูปแบบ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ซึ่งจะทำให้การผ่านกฎหมายสำคัญ และการบริหารประเทศเป็นไปอย่างยากลำบาก
3.ผลกระทบต่อเสถียรภาพการเมือง การแตกหักระหว่างสองพรรคจะส่งผลอย่างมาก ต่อเสถียรภาพการเมือง ทั้งในแง่เศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความสัมพันธ์กับประชาคมโลก
วิเคราะห์โอกาสแตกหัก: มีมากน้อยแค่ไหน?
ในมุมมองเชิงวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ที่ “ภูมิใจไทย” จะถอนตัวจากรัฐบาลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังไม่ถึงขั้น “แตกหัก” ในระยะสั้น เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังต้องพึ่งพากันในแง่อำนาจ
การแตกหักกลางสมัยจะทำให้ทุกฝ่ายเสียหายมากกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานสนับสนุนบางส่วนยังต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าต่อเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ความขัดแย้งภายในรัฐบาลยืดเยื้อ และมีแรงกดดันจากภายนอกเพิ่มขึ้น การแตกหักในช่วงปี 2569 หรือก่อนเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า จะกลายเป็นความเป็นไปได้ที่สูงขึ้นมาก
การจับตาความสัมพันธ์ระหว่าง “ภูมิใจไทย” และ “เพื่อไทย” เป็นสิ่งสำคัญในห้วงเวลานี้ เพราะจะกำหนดทิศทางการเมืองไทยในอนาคต การแตกหักอาจไม่ใช่แค่เรื่องของสองพรรค แต่จะเป็นแรงสั่นสะเทือนที่กระทบต่อโครงสร้างการเมืองโดยรวม ดังนั้น นักวิเคราะห์การเมือง นักลงทุน และประชาชนทั่วไป ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ บนเวทีการเมืองไทยที่ไม่มีอะไรแน่นอน
#ข่าวการเมืองล่าสุด #อัปเดตข่าวการเมือง #สรุปข่าวการเมือง #เลือกตั้งไทย #เสถียรภาพรัฐบาลไทย #รัฐบาลแตกหัก #ภูมิใจไทยแตกหัก #เพื่อไทยปะทะภูมิใจไทย