ทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกฯ แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ใครๆในทางการเมือง เชื่อว่า มีอำนาจมากที่สุด  มากกว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เสียอีก  เปิดศึกกับบ้านป่ารอยต่อฯ

แม้จะไม่เอ่ยชื่อ  แต่ย่อมหมายถึง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  ประธานมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

“…ถ้าจะมีคนวุ่นวาย ก็แถวบ้านในป่า นั้นแหละ วุ่น !!”  ทักษิณ  พุ่งหมัดตรงใส่  คนบ้านป่าฯ อีกครั้ง

หลังจากที่ ก่อนหน้านั้น ทักษิณ ถล่มว่า อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการของ 40 สว. ที่ยื่นศาล รธน. ตีความกรณี เศรษฐา แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็น รมต. แม้จะไม่เอ่ยชื่อ  แต่ก็พาดพิงว่า  เห็นก็รู้ว่า เป็นคนของใคร

การเปิดศึก กับ คนในป่าฯ แม้ว่า ในรั้วของ บ้านป่ารอยต่อฯ จะเป็นรั้วเดียวกัน และบ้านใกล้กับ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา อดีตนายกฯก็ตาม 

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ทักษิณ ประกาศศึก แค่กับ พล.อ.ประวิตร แต่ ไม่ได้พาดพิง พล.อ.ประยุทธ์  ไม่ใช่เพราะปัจจุบันเป็นองคมนตรี  แต่เพราะ ตรวจสอบ และสอบถาม คนที่เกี่ยวข้องกับ “ดีล” แล้วว่า  พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เกี่ยวข้อง  แม้จะมี สว. ที่เป็น เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์  รวมอยู่ด้วยหลายคน ก็ตาม

อันเป็นการสะท้อนว่า ทักษิณ ยังคงมั่นใจใน “ดีล” ที่ตกลงไว้ ตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว และการกลับไทย

เพราะต้องยอมรับว่า  ตอนเป็นนายกฯ นั้น พล.อ.ประยุทธ์  อยู่ใน “ดีล” ด้วย ทั้ง การที่ ทักษิณ กลับไทย ในปลายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  และการที่ สว. สาย พล.อ.ประยุทธ์  โหวตให้ เศรษฐา ทวีสิน เป็น นายกฯ และ พรรครวมไทย สร้างชาติ ร่วมรัฐบาล

อีกทั้ง “ดีลลังกาวี” ที่เชื่อว่า เป็นจริงนั้นมี “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์  อดีต ผบ.ทบ. น้องรักสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์  เป็นคีย์แมนคนสำคัญ

แม้ว่าทุกวันนึ้ พล.อ.อภิรัชต์  จะลดบทบาทตัวเองลง ประกาศ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และไปพักรักษาตัวในต่างประเทศ สลับกับ อยู่ในประเทศ  ก็ตาม  แต่ก็ยังถูกจับตามอง และ มีกระแสข่าวลือต่างๆ ออกมาเป็นระยะๆ

อีกทั้ง มีคนทำหน้าที่ รักษา “ดีล” แทน อยู่ ทักษิณ จึงมั่นใจในความอยู่รอดปลอดภัย ของตนเอง ในการผ่าน คดี ม.112 รวมถึง เศรษฐา ที่จะได้ไปต่อ

การเปิดศึก กับ คนในป่าฯ คนเดียว ขั้วเดียว จึงเป็นการทำให้พล.อ.ประยุทธ์  ถูกจับตามองอีกครั้ง แม้สถานภาพจะเปลี่ยนไป แต่ บารมี และคอนเนคชั่นยังอยู่

สาเหตุหนึ่ง ที่ พล.อ.ประวิตร ต้องขยับ  ไม่ใช่แค่เพราะ ยังมีความหวังจะเป็นนายกฯ เท่านั้น แต่ยังต้องการ ประกาศให้ นายทักษิณ รู้ว่า อย่าด้อยค่า  พี่ใหญ่  แห่ง 3 ป. ที่แม้วันนี้  แผงอำนาจื3 ป. จะแตกหักกันไปแล้ว ก็ตาม  แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ยังคง มีฤทธิ์อยู่บ้าง

ย้อนหลังกลับไป ก่อนการเลือกตั้ง  กระแสข่าว “บิ๊กดีล” สะพัด แต่เป็น ดีล ระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ บ้านจันทร์ส่องหล้า  ที่รู้กันดีว่า  มีความสนิทสนมส่วนตัว มายาวนานกับ คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์  และถูกมองว่า  ดีล เพื่อให้ ทักษิณ กลับไทย แลกกับที่พรรคเพื่อไทย จะร่วมรัฐบาล และหนุนพล.อ.ประวิตร  เป็นนายกฯในตอนนั้น พล.อ.ประวิตร  คิดว่า พรรคพลังประชารัฐ ของตนเอง จะได้ สส. มากกว่า 100 คน

แต่ ทักษิณ ไม่ได้ มี ดีลเดียว ไม่ได้คุยกับ แค่ พล.อ.ประวิตร  แต่ เขารู้ดีว่า พี่น้อง 3 ป. แตกหักกันแล้ว พล.อ.ประยุทธ์  แยกพรรค พล.อ.ประวิตร ออกมา ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ เอง  และรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีพาวเว่อร์มากกว่า รวมท้้ง มี พล.อ.อภิรัชต์ ด้วย  จึงมีดีล ซ้อน กับ  ฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ ด้วย

และที่สุด ก็เลือก ดีลกับ ป.ผู้น้อง อย่าง ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์  ย่อมส่งผลให้ พล.อ.ประวิตร ไม่แฮปปี้ และ สว.สาย “บิ๊กป้อม” จึงไม่โหวตหนุนให้ เศรษฐา เป็นนายกฯ

แม้ พรรคพลังประชารัฐ จะร่วมรัฐบาล  แต่ก็เพราะ การดีลของ ร.อ.ธรรมนัส  พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ที่รับเงื่อนไข “มีเรา ไม่มีลุง” ไม่มี พล.อ.ประวิตร ใน ครม. แต่มี “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย ร่วมครม. แทน

ทั้งนี้ เพราะช่วงนั้น ร.อ.ธรรมนัส จะนำทีม ส.ส. ย้ายพรรค หาก พล.อ.ประวิตร ไม่ยอมร่วมรัฐบาล

จนที่สุด พล.อ.ประวิตร ก็ยอม  แต่จะไม่ยอม ลาออกจาก หัวหน้าพรรค พปชร. แม้ตอนนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะประกาศวางมือทางการเมือง ก็ตาม

ครั้งนั้น สว. สาย 2 ป. แตกแยก  บางคน ยอม ทำตามสัญญาณ จากฝ่าย “บิ๊กป้อม” แต่บางคน ทำตามสัญญาณของฝ่าย “บิ๊กตู่” จนทำให้ พล.อ.ประวิตร ตะเพิด สว. หลายคน  และไม่ให้เข้าบ้าน

รวมทั้ง ทำให้ ความสัมพันธ์ พี่น้อง 2 ป. แตกร้าว ยิ่งกว่าเดิม  แบบที่ จนทุกวันนี้  พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่มาหา “พี่ป้อม” ส่วน “พี่ป้อม” ก็ไม่ต้องการเจอหน้า  แม้แต่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่พยายามมาพบมาหา มาง้อ แต่ไม่สำเร็จ

อาจเรียกว่า แบ่งขั้วกันชัดเจน ระหว่าง ป. ประยุทธ์ กับ ป.ประวิตร

เช่นนี้ จึงทำให้ ทักษิณ เลือกข้าง พล.อ.ประยุทธ์  ที่อยู่ในดีล และยังคงมั่นใจ ว่า ดีลยังคงอยู่ และเดินหน้าต่อ  เพราะยังมีอีกหลายเงื่อนไข  แต่ก็ต้องทำให้ สังคมยอมรับได้ และเป็นไปตามกม. และ อาจรวมถึง การส่ง วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ กูรูมือกม. ที่แม้มีปัญหาสุขภาพ  มาเป็นที่ปรึกษาของ นายกฯ ช่วยหาช่องต่อสู้คดี ของนายเศรษฐา และ ดูแล มติ ครม. และคำสั่ง นายกฯ ให้รอบคอบ  และ อาจรวมถึง คดี ม.112 ของ นายทักษิณ ด้วย

ในเมื่อขั้วอนุรักษ์นืยม ยังไม่มีทางเลือกอื่น ในการต่อสู้กับพรรคก้าวไกล และขบวนการล้มล้างสถาบันฯ ก็จำเป๋นต้อง อาศัย ทักษิณ กับ พรรคเพื่อไทย ไปก่อน เพราะการที่จะให้ ทหารยึดอำนาจ แล้ว ปกครองประเทศ แบบในอตีต หรือ แบบ ช่วง 9 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์  นั้น ไม่อาจทำได้

ดังนั้น ทักษิณ จึงเร่งลงพื้นที่ เดินสาย หาเสียง  พบปะคนเสื้อแดง และฐานเสียงเก่า  เพื่อเรียกความนิยม ฐานเสียง กลับคืนมา  เพิ่อชนะเลือกตั้ง ทั้งระดีบท้องถิ่นต่างๆ และ ระดับชาติ ในอีก 3 ปีข้างหน้า  ที้ก็เป็นไปตาม ดีล

รวมถึงดีลที่ให้ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับไทย อีกคน เพื่อผนึกกำลังกัน ให้พรรคเพื่อไทย ชนะเลือกตั้ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และ ปกป้องสภาฯ จาก พรรคก้าวไกล ในการออกกม. หรือ แก้กม. โดยเฉพาะ ม.112

แต่บางเรื่อง ต้องรอจังหวะ ที่เหมาะสม รวมทั้ง ความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ที่ต้องเหมาะสม ด้วย

ในมุมหนึ่ง ทักษิณ จึงไม่ได้ ทำศึก กับบ้านป่ารอยต่อ ฝ่ายเดียว แต่ระหว่าง “พี่น้อง 2 ป.” ก็ต้องวัดพลัง กันเอง ด้วย

ในขณะที่ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ออกมาแก้ข่าว หรือตอบโต้ ทักษิณ แม้แต่ พรรคพลังประชารัฐ  เพราะมีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร บอกว่า ไม่ต้องสนใจ เพราะไม่ใช่เรื่องจริง 

แต่ต้องจับตา ความเคลื่อนไหว ของ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้จบแค่นี้ เพราะ ในความเป็นพี่ใหญ่  ยังมีบุญเก่า ที่สั่งสมมา  และมีลูกน้อง อยู่ และมี ศักดิ์ศรี ความเป็นพี่ใหญ่ ที่ต้อง เรียกกลับคืนมา  หลังแพ้เลือกตั้ง ได้แค่ 40 สส. และที่สำคัญ  ต้องไว้ลาย พี่ใหญ่ ในทางการเมือง ที่จะต้อง ลงจากหลังเสือ ให้ สวยงาม สมศักดิ์ศรี พี่ใหญ่ คนนึ้

แต่แน่นอนว่า ฝ่าย ทักษิณ เองก็คงไม่ปล่อยให้ พล.อ.ประวิตร คอยเตะตัดขาอยู่เช่นนี้ ท่ามกลางกระแสข่าว จะมีปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่ ที่จะตัดพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ส่วน ร.อ.ธรรมนัส ก็จะแยกพรรคออกมา อยู่พรรคตัวเอง 

แต่ถึงกระนั้น พี่ใหญ่ บูรพาพยัคฆ์เฒ่า ก็ยังคง สู้ยิบตา ในทุกทาง