วันที่ 18 มี.ค.67 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก "Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์" ระบุว่า...

“จตุพร” ประเมินทักษิณจ้อ แสดงสุขภาพแข็งแรง ไร้ป่วยวิกฤต เชื่อยิ่งเรียกความซวยมาถึง รพ.ตำรวจ-กรมคุก ต้องผวา ถามเสื้อแดงเชียงใหม่มีมาตรฐานย้ายขั้ว สลับข้าง ตระบัดสัตย์ประชาชนหรือไม่ วันนี้เพื่อไทย-ทักษิณเป็นเช่นนั้นกลับนิ่งเงียบเฉย ฟาดกลับต่างคนต่างอยู่ไม่ได้ เหตุไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่มีบางคนเป็นอภิสิทธิ์ชน สองมาตรฐาน อาศัยยุติธรรมไม่เท่าเทียมอยู่ลอยชาย อวดศักดาไม่แคร์อารมณ์ ปชช.

เมื่อ 16 มี.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า ทักษิณ ชินวัตร บอกไม่ชอบก็ต่างคนต่างอยู่นั้น ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวก็พูดได้ แต่การพักโทษไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เพราะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ 10 ประการ รวมความแล้วนักโทษแก่อายุกว่า 70 ปี ต้องช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแลป้อนน้ำป้อนข้าว คอยพยุงเดินเอาใจใส่ร่างกายเคลื่อนขยับ แต่ที่เห็นการแสดงออกที่เชียงใหม่ในช่วง 3 วันเป็นคนละเรื่องเลย แล้วพักโทษได้อย่างไรกันทั้งที่ไม่เคยติดคุกสักวัน

"สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของนักโทษประเทศนี้ต้องไม่มีอภิสิทธิ์ชน เมื่อต้องการอยู่ภายใต้ระเบียบ กฎหมายแล้วทุกคนต้องเสมอหน้ากัน มีโทษก็ต้องติดคุก ป่วยหนักก็รักษา แต่การแสดงที่เชียงใหม่กลับไม่ใช่คนเคยนอนป่วยอยู่ รพ.ตำรวจนาน 180 วัน แล้วยังมาบอกว่า ไม่ชอบต่างคนต่างอยู่ เราจะอยู่ในระบอบต่างคนต่างอยู่กันเหรอ"

นายจตุพร กล่าวว่า พฤติกรรมของทักษิณไปทำกิจกรรมในที่ต่างๆ ตลอด 3 วัน ตั้งแต่ 14-16 มี.ค. ได้ถอดและสลับใส่ปลอกคอเฝือกอ่อนเป็นระยะ ดูอาการแล้วไม่เหมือนคนป่วยวิกฤต แขนไม่ใส่สายคล้องยึดพยุงเอ็นเปื่อยยุ่ยเอาไว้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังยืนมือให้มวลชนจับ สัมผัสโดยไม่หวั่นไหวจะเกิดการอักเสบแทรกซ้อนซ้ำเติมอีก

อย่างไรก็ตาม การถอดปลอกคอสัญญาลักษณ์คนป่วยต้องรักษาเอ็นคอของคนแก่นั้น ส่วนหนึ่งเป็นการสะท้อนถึงความไม่แคร์สังคม ไม่แคร์การนอนที่ รพ.ตำรวจ ซึ่งสังคมคลางแคลงใจว่า ป่วยจริงหรือไม่ และไม่แคร์หมอให้การรันตีอาการป่วยวิกฤตจริงและหวั่นจะมีโรคแทรกซ้อนได้ แต่การเดินตลาดเชียงใหม่ ทำกิจกรรมต่อเนื่องตลอดขออนุญาตไปไหว้บรรพบุรุษกลับไม่กลัวโรคแทรกซ้อนใดๆ เลย

พร้อมกล่าวว่า สิ่งสำคัญแล้ว ในงานเลี้ยงเย็นวันที่ 15 มี.ค.ที่บ้านเจ๊แดง-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ผู้เป็นน้องสาว ทักษิณ ถอดแมสก์ สลัดปลอกคอเฝือกอ่อนทิ้ง หน้าตาอิ่มเอิบนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับนายเศรษฐา ทวีสิน ใส่เสื้อลำลองลายผ้าขาวม้า และมีนักการเมือง รัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลบางคนนั่งอยู่ด้วย

นอกจากนี้ยังถ่ายรูปกับสมาชิกเพื่อไทย และทักทายมวลชน ซึ่งทักษิณมีหน้าตาสดชื่นไม่มีริ้วรอยอาการป่วยของคนเคยนอน รพ.ตำรวจ 180 วันหลงเหลืออยู่เลย ดังนั้น สภาพที่เห็นได้สะท้อนบอกว่าเป็นคนปกติ มีสุขภาพแข็ง ไร้อาการป่วยวิกฤตที่อ้างย้ำให้เชื่อเมื่อก่อนหน้านี้

นายจตุพร ย้ำถึงการใส่ร้ายทางการเมืองเมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ เมื่อ 3 ปีที่แล้วว่า คนเสื้อแดงยังจำได้หรือไม่ วันนั้นทักษิณและพรรคเพื่อไทยระดมแกนนำไปกล่าวหานายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ย้ายข้างไม่อยู่กับพรรคพลังประชารัฐ โดยนำรูปภาพถ่ายคู่กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ใบเดียวมาอ้าง พร้อมด่ายกใหญ่กล่าวหานายบุญเลิศไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตย

อีกทั้ง กล่าวว่า ในวันที่ทักษิณไปเชียงใหม่ ร.อ.ธรรมนัส ไปต้อนรับ แล้วยังมีกิจกรรมตากแดดดูคลองน้ำน้อย ตกเย็นยังนั่งร่วมโต๊ะงานเลี้ยงรับรองอีก โดยมีนายเศรษฐา สมทบด้วย สิ่งนี้เคยกล่าวหานายบุญเลิศ ไม่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย สลับข้างไปฝักใฝ่ฝ่ายยึดอำนาจ แล้วพฤติกรรมนี้แตกต่างกันตรงไหน ซึ่งคนเสื้อแดงถ้ามีความจำอยู่ คงจะจำกันได้ดี และยอมรับได้หรือไม่

"การที่มีผู้ปกครองโหลยโท่ยเพราะประชาชนโหลยโท่ย ถ้าประชาชนมีมาตรฐานมันต้องรับไม่ได้กับการย้ายขั้วสลับข้าง แค่นายบุญเลิศ ถ่ายรูป (กับ ร.อ.ธรรมนัส) ก็จะเป็นจะตาย แล้วพรรคเพื่อไทยสลับขั้วไปตั้งรัฐบาล จน น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ รับไม่จึงลาออกจากสมาชิกเพื่อไทย แล้วคนที่กล่าวหานายบุญเลิศ วันนั้นจะว่าอย่างไรละ"

รวมทั้ง กล่าวว่า ความรับผิดชอบเป็นเรื่องใหญ่ แต่การกล่าวหาที่ผ่านมาไม่มีเหตุผลเลย พูดโกหกหลอกลวงกันไป ดังนั้น หากประชาชนมีมาตรฐานแล้ว จะไม่มีนักการเมืองหน้าไหนกล้าตลบตะแลงกับประชาชนเลย

นายจตุพร กล่าวถึงคนเสื้อแดงเชียงใหม่ชูป้ายทวงถามทักษิณเพื่อหาความรับผิดชอบคนเสียชีวิต ว่า ในการต่อสู้ทางการเมืองย่อมมีหลักยึดมั่นเสมอในการต่อสู้กับสองมาตรฐาน สู้กับความไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วรังเกียจสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ไม่มีใครต้องการไปต่อสู้เพื่อแลกกับการเสียชีวิตเพื่อคนตระบัดสัตย์สักคน พวกเขาจึงต้องมาประจานทวงถาม

อีกทั้งกล่าวว่า ในช่วงสองวัน (15-16 มี.ค.) ที่ทักษิณไปเชียงใหม่ อารมณ์ประชาชนไม่เหมือนเดิม เพราะแต่เดิมนั้นจะคราคร่ำด้วยพี่น้องเสื้อแดงจากทั่วสารทิศมาต้อนรับ แต่บรรยากาศขณะนี้กลับไม่ใช่ เนื่องจากสาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมทางการเมืองที่ทักษิณ-เพื่อไทยเป็นตรงกันข้ามกับการประกาศตราหน้าคนอื่นทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อเสียการเมืองแล้ว จึงยากจะพากลับให้เป็นเหมือนเดิมได้ แล้วมาตรฐานคนเชียงใหม่จะว่าอย่างไร

ส่วนการดีลกลับบ้านนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ถ้านายเศรษฐา ยังเป็นนายกฯ ต่อไปแสดงถึงการผิดดีลกันแล้ว และถ้าอาจเกิดให้ตีความ สว. ครบวาระ 11 พ.ค.นี้ แต่ยังอยู่ต่อเพื่อรอชุดใหม่ และสามารถทำหน้าที่ได้ทุกเรื่อง รวมทั้งการโหวตเลือกนายกฯ ด้วย ดังนั้น อย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งนี้จะไม่เกิดสิ่งนี้ เพราะประเทศนี้มีความเป็นไปได้ทุกอย่างอยู่แล้ว

"ถึงที่สุดผมอยากให้นายเศรษฐา เป็นนายกฯ ต่อไป ไม่อยากให้เป็นไปตามดีลทั้งหมดหรือ ให้มีการแก้ไขดีลกันใหม่ แต่ขณะนี้ผมยังไม่ได้ยินว่า ได้มีการเปลี่ยนดีลให้เศรษฐาไปต่อ แต่ที่ได้ยินยังเป็นเรื่องเดิมอยู่”

พร้อมกล่าวว่า คงต้องดูกันต่อไปอีกเป็นระยะ หากเบี้ยวดีลแล้วยังไม่มีปัญญาทำอะไร หรือเปลี่ยนดีลใหม่อีก ก็อาจจะเจอสถานการณ์ใหม่ เพราะบรรยากาศทางการเมืองมีความหลากหลาย รวมทั้งการกลับบ้านของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะตามมาอีก ซึ่งถ้าเบี้ยวดีลกันยิ่งทำให้กลับบ้านได้ยากขึ้นมาก

ส่วนทักษิณ เป็นนักโทษเทวดาอยู่เหนือกระบวนการยุติธรรม นายจตุพร กล่าวว่า การไปเชียงใหม่แล้วทำกิจกรรมต่อเนื่องทั้งวัน ไม่รู้ว่าเกิดประโยชน์อะไร เพราะสิ่งนั้นแสดงความสมบูรณ์ของร่างกายที่สุดแล้ว ยิ่งทำให้คนกังขาไม่ได้ป่วยจริงยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งความซวยกำลังจะไปถึงกรมราชทัณฑ์ และ รพ.ตำรวจ

"วันที่มีอำนาจก็ใหญ่กันทั้งนั้น ไม่ใช่ไม่เคยมี ก็มีมาแล้ว วันนั้น (ทักษิณ) อำนาจใหญ่กว่านี้อีก ดังนั้น ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งคิดเป็นปล่อยให้ทักษิณแสดงอำนาจไปเรื่อยๆ อยากแข็งแรงก็แข็งแรงไป คนโดนด่าเขาก็ไม่เกี่ยว แต่ความเสื่อมจะบังเกิด"

นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ยังมีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่มาก การที่ทักษิณบอกไม่ชอบก็ต่างคนต่างอยู่นั้น แต่ที่ต่างคนต่างอยู่กันไม่ได้เพราะไม่มีความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางยุติธรรมกันเลย ดังนั้น ความรู้สึกและอารมณ์ของประชาชนที่บังเกิดในความยุติธรรมนั้น เป็นการเสียมากกว่าได้ จึงต่างกันต่างอยู่ไม่ได้

"ถ้าไม่แคร์ประชาชน คิดแต่ว่าตัวเองมีอำนาจ ซึ่งคนมีอำนาจมากกว่านี้หลายคนก็เสียชีวิตต่างประเทศมาแล้ว ดังนั้น เวลานี้อย่าคิดว่าถ้ามีเรื่องแล้วประชาชนจะเป็นหลังผิงให้ และถึงที่สุดไม่มีใครใหญ่จริงทุกเวลา ใหญ่วันนี้ก็เล็กในวันหน้า ซึ่งต้องวัดกันด้วยดีลที่ทำกันไว้ในวันข้างหน้า"

ประเทศไทยต้องมาก่อน