เมื่อเวลา 20.17 น.วันที่ 21 พ.ย. 67 ที่โรงแรม The Ritz Carlton, One Bangkok ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมการสนทนาแบบ one-on-one ในกิจกรรมของ Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22  โดยนายทักษิณ ได้พูดคุยตอบคำถามนายสตีฟ ฟอร์บส์ ประธานและบรรณาธิการบริหารของ Forbes Media

โดยนายทักษิณ กล่าวว่า ชีวิตของตนเริ่มธุรกิจมาจากศูนย์และผ่านความยากลำบากมามากมาย ก่อนจะประสบความสำเร็จในโลกของธุรกิจ และตนเห็นนรกก่อนเห็นสวรรค์ในธุรกิจ จากนั้นตนก็โดดลงมาเล่นการเมือง  เพราะทุกครั้งที่ไปต่างจังหวัดก็ยังเห็นคนที่ยากจนเหมือนเดิม ฉะนั้นจึงคิดว่านอกจากช่วยตัวเอง ช่วยครอบครัวแล้ว ทำไมไม่ช่วยคนที่ไม่มี ดังนั้นตนจึงตัดสินใจที่จะลงเล่นการเมือง ในช่วงประสบความสำเร็จมากในการเมืองตนเห็นสวรรค์ และตนเห็นนรกตามมาทีหลัง นรก สวรรค์ คือชีวิตตนเลย ชีวิตมีขึ้นและมีลง ตอนนี้คิดว่าน่าจะอยู่บนพื้นดินแล้ว ไม่เอาสวรรค์ ไม่เอานรกแล้ว

ผู้ดำเนินรายการสอบถาม เมื่อ ส.ค.ปีที่แล้ว ได้กลับมาบ้าน ประสบการณ์ที่มีคืออะไร มีแขกหลายคน ไม่ได้มาจากประเทศไทยและไม่คุ้นเคยกับระบบการเมืองไทย นายทักษิณ กล่าวว่า ตอนนี้เราอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลโดยจะต้องมีข้อตกลงร่วมกันในการทำหลายสิ่ง แต่บางเรื่องเราอาจจะไม่ได้เห็นรัฐบาลผสม

“ โชคดีว่าส่วนใหญ่คนที่อยู่ในรัฐบาลผสม เคยทำงานร่วมกับผมตอนที่ตั้งพรรคไทยรักไทยในปี 1998 และเรากลายเป็นรัฐบาลในปี 2001 ซึ่งคนที่เป็นตัวหลักส่วนใหญ่ เคยเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของผมมาก่อนเมื่อปี 2544 ซึ่งถือว่ายังโอเคอยู่ และตัวนายกรัฐมนตรีเองก็หน้าตาคล้ายกับผม เขาก็คงรู้สึกคุ้นเคย เหมือนเป็นเวอร์ชั่นที่สองของผม” 

ผู้ดำเนินรายการสอบถามอีกว่า อยู่การเมืองคุณกลายเป็นเป้า และวันที่ 22 พ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดี คุณรับมืออย่างไรกับการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ให้จิตใจลงไปสู่นรกที่พูดถึง นายทักษิณ กล่าวว่า ตนคิดว่า ตนผ่านเรื่องบ่อยๆ ผ่านมาหลายสิ่ง อย่างที่บอกไปว่าเห็นทั้งนรก และสวรรค์มาแล้ว ก็ไม่มีอะไรทำให้ตื่นเต้นแล้ว วันที่ 22 พ.ย. เขาบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสิน ตนก็รู้สึกว่าโอเค ว่าไม่เป็นอะไร ก็แค่รอฟังคำตัดสิน และก้าวต่อไปข้างหน้า และมองไปข้างหน้า ตนเข้าใจประวัติที่ผ่านมาและอดีตที่ผ่านมา แต่ว่าเราไม่ย้อนกลับไปอดีต เราไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ว่าไม่ใช่ Moving Forward (ก้าวไปข้างหน้า)

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า  เวลาไปวัดตนอยากจะมีความสงบทางจิตใจ ตนก็ไปไหว้พระ กลับมาก็นอน แต่ระหว่างทางที่ไปอาจจะมีหมาเห่า แต่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำไมหมาถึงเห่า  ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องหมา ไปนอนสะแล้วจิตใจก็สงบ ในช่วง 17 ปีที่ตนต้องระเห็จไปอยู่ต่างแดน จำเป็นมากๆ ที่จะต้องรักษาความสงบในจิตใจ ถ้าคิดลบเกี่ยวกับตัวเองจนถึงตอนนั้น ตนก็คงอยู่ไม่ได้มาจนถึง และตลอดชีวิตไม่ว่าจะไปที่ไหน จำเป็นที่จะต้องมีธุรกิจที่ไปทำ เหมือนว่าได้พักผ่อนเป็นส่วนเสริม ตนเลยไม่ไปทะเล ทะเลแคริบเบียน การไปพักผ่อนไม่ใช่หัวใจสำคัญในชีวิต ตนเกิดปีวัว ทำงาน ทำงาน ทำงานอย่างเดียวอายุ 75 ปีแล้วบางวันยังต้องทำงาน 14 ชั่วโมงอยู่เลย