วันที่ 21 ธ.ค. 2566 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการค่าจ้างมีมติเห็นชอบปรับค่าจ้างขั้นต่ำปี 2567 ตามมติเดิมเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ว่ารัฐบาลเข้าใจว่า สิ่งไหนจะสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง ทั้งนี้ ในฐานะรัฐบาลสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยในช่วงเลือกตั้งก็ได้มีการหาเสียงไว้ ดังนั้น รัฐบาลมีสิทธิ์รับฟังความคิดเห็น ซึ่งคณะกรรมการที่มีหน้าที่ตามกฎหมายจะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการไตรภาคี เป็นเอกสิทธิ์ไปแทรกแซงไม่ได้
นายชัย กล่าวต่อว่า รัฐบาลจะไม่หยุดแสดงความคิดเห็นโน้มน้าว เพราะเรื่องแบบนี้สามารถจะพูดคุยกันได้ ดังนั้น ไม่มีข้อบังคับไหน ที่ระบุว่า ปีหนึ่งให้พิจารณาการขึ้นค่าแรงเพียงครั้งเดียว หากผ่านไปแล้วสักระยะ เมื่อคณะกรรมการมีการทบทวนหรือพิจารณาใหม่อีกครั้งภายในปีเดียวกันก็ได้ ถือว่าโอกาสมีอยู่เสมอ
นายชัย กล่าวว่า ในเรื่องนี้เป็นไปตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุออกมาจากใจจริงว่า ไม่เห็นด้วยในการขึ้นค่าแรง 2 บาท ใน 3 จังหวัดภาคใต้ แม้แต่ไข่ไก่ ไข่ต้มครึ่งฟองยังซื้อไม่ได้เลย ดังนั้น หากถามว่าน้อยหรือไม่ นายกฯก็มองว่า น้อยมากๆ และในแง่ของการครองชีพของภาคแรงงาน ค่าแรงในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และคำนวณขึ้นค่าแรงล่าสุด 300 บาทที่ผ่านมา เกิดขึ้นเมื่อปี 2555 จนถึงปัจจุบันนี้ ค่าแรงขึ้นมาสูงสุดในรอบ 10 ปี ไม่เกิน 20 %
โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่า ตรรกะของนายกฯมองในเชิงการมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งเห็นเลยว่า มีช่องว่างและมีความเลื่อมล้ำสูงมาก ผู้ใช้แรงงานที่มีรายต่ำอยู่แล้ว แล้วขึ้นค่าแรงในจำนวนที่น้อย นายกฯมีสิทธิ์ที่แสดงความคิดเห็น แต่นายกฯ รู้ดีว่าจะไปหักหาญกันไม่ได้ เพราะมีกฎหมายกำหนดไว้ เรื่องนี้เชื่อว่า นายกฯจะไม่หยุดแค่นี้ คงจะมีการขับเคลื่อนต่อ ส่วนตัวเชื่อว่า ในคณะรัฐมนตรีก็เห็นคล้อยตามนายกฯ ที่จะต้องมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
นายชัยกล่าวว่า ส่วนตัวเข้าใจว่า ศักยภาพภาคธุรกิจไทย ถ้าบอกว่า ค่าจ้างสูงกว่านี้ไม่ไหว แปลว่า ต้องทบทวนศักยภาพธุรกิจที่ไม่มีความสามารถพอ ที่จะทำธุรกิจและสร้างรายได้มากพอที่จะดูแลคนทำงานได้อย่างมีความสุข ดังนั้น ภาคธุรกิจต้องปรับตัว อย่าได้กังวลว่า ค่าจ้างสูงแล้วธุรกิจอยู่ไม่ได้ และมีแรงงานตกงาน ส่วนตัวไม่เชื่อเช่นนั้น ยืนยันว่า แรงงานจะไม่ตกงาน เพราะมีความต้องการของสินค้าอยู่ และเชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการจำนวนมากที่จะอยู่รอดและเติบโต ในรูปแบบสามารถที่บริหารธุรกิจ และจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำได้สูง
เมื่อถามว่า จะเป็นการผลักผู้ประกอบการให้ย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ นายชัย กล่าวว่า หากย้ายฐานการผลิตก็จะเกิดช่องว่างของตลาด คนที่อยู่ในนี้ก็จะเข้ามาแทนที่ และต่างประเทศก็จะเจอปัญหาเช่นกัน ย้ำว่าธุรกิจทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าแรงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องของเส้นทางคมนาคมขนส่ง ซึ่งยังมีปัจจัยอื่นอีกมาก ดังนั้น ส่วนตัวไม่ห่วง เพราะหากถอยออกไปก็จะมีคนที่อยู่ได้ และมีการขยายตัวเข้ามาแทนที่
“บางครั้งสื่อจะนำเสนอทำนองว่า นายจ้างอยู่ไม่ได้และจะมีการย้ายฐานการผลิต ซึ่งสามารถทำได้ เพราะหากย้ายไปตลาดก็ไม่หายไป ตลาดที่เคยค้าขายอยู่ยังมีช่องว่าง และยังมีผู้เล่นที่จะขยายเข้ามากินตลาดนี้ ดังนั้นประเทศไม่เสียหาย
จึงขออย่าห่วง สุดท้ายจะถูกคัดคนไม่มีคุณภาพออกไป ซึ่งประเทศอื่นที่เจริญแล้ว จ่ายค่าแรงหลายพันบาททำไมถึงจ่ายได้ เพราะว่าเขามีผู้ประกอบการที่มีความสามารถเช่นประเทศมาเลเซีย และสิงค์โปร์ แล้วทำไมธุรกิจถึงไม่เจ๊ง ซึ่งขอถามกลับ” นายชัย กล่าว