สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ …*…

สถานการณ์ไม่อำนวย ไร้เวลาฮันนีมูน รัฐบาล “เศรษฐา 1” ต้องเร่งสร้างผลงาน เพื่อลดแรงกดดันจากการย้ายข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทย …*…

พรรคเพื่อไทยต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า หลายๆนโยบายที่ประกาศไว้ในช่วงเลือกตั้ง สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่แค่เทคนิคการหาเสียง โดยเฉพาะเรื่องแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท ที่ต้องใช้วงเงินงบประมาณกว่า 500,000 ล้านบาท ซึ่งมีข้อสังเกต และคำถามมากมายจากทั้งนักวิชาการ และนักเศรษฐศาสตร์ …*…

ที่สำคัญ แม้แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยเอง ก็ยังให้ข้อมูลในเรื่องแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท ผิดแผกแตกต่างกัน โดยก่อนหน้านี้  นายกิตติ ลิ่มสกุล รักษาการรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และหนึ่งในคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายพรรคเพื่อไทย ให้ข่าวถึงเงินดิจิตอล 10,000 บาท ที่จะนำมาแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มีคุณสมบัติเงื่อนไขเข้าเกณฑ์ว่าไม่ใช่บิตคอยน์  แต่เป็น โทเคน ที่จะเป็นเหรียญ-กระดาษ-คูปอง ก็ได้ เรียกว่า”สิทธิ”ที่เป็นเรื่องที่ทำได้ ถูกกฎหมาย เป็นไปตาม พ.ร.บ.ดิจิทัลฯ  …*…

 “ใครมาบอกว่าผิดกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย ยืนยันว่าไม่จริง เรื่องนี้เคยเถียงกันมาแล้ว เพราะมันไม่ใช่เหรียญของธปท. แต่มีเงินแบ็คอัพให้ที่เป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน เหมือนกระเป๋าตังค์ โดยการบริหารจัดการสามารถปรับได้ เช่นการใช้เงินที่ให้ใช้ในรัศมีไม่เกิน 4 กิโลเมตรของคนที่ได้เงิน  ก็สามารถปรับได้ไม่ยาก เพราะเขียนด้วยบล็อกเชน เช่นประชาชนบางส่วนอยู่ในพื้นทีห่างไกล อยู่แถบภูเขา ก็สามารถขยายพื้นที่การใช้เงินให้ได้ สำหรับนัมเบอร์ดังกล่าว อาจขยายให้ไปถึงสิบกิโลเมตรก็ได้”รักษาการรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยชี้แจง …*…

พร้อมกันนี้นายกิตติระบุด้วยว่า เงินที่จะให้หนึ่งหมื่นบาทนั้น อาจจะไม่ได้ให้ทีเดียวเลยหนึ่งหมื่นบาทต่อคน คาดการณ์ว่าอาจจะให้เป็นงวดๆ ประมาณ 2-3 งวด  …*…

“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทีเดียวเลยหนึ่งหมื่นบาท โดยอาจจะให้สองรอบ เช่นในช่วงจังหวะดีๆ อย่างเทศกาลสงกรานต์ แต่ก่อนสงกรานต์อาจมีก่อนหนึ่งงวด เช่น 2,500 บาท จากนั้น ให้รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจประเมินผล หากรายงานมาว่าได้ผลดี คนจับจ่ายซื้อของกันดี คนขายของก็เข้าสู่ระบบภาษี แบบนี้อาจให้อีกงวด 2,500 บาท แล้วเข้าเดือน เม.ย.ก็ให้ไปอีก 5,000 บาท ก็ครบหนึ่งหมื่นบาท และระหว่างการทำ ต้องมีการบริหาร Cash Flow ด้วย พวกที่มาวิจารณ์ว่าจะเจ๊ง ผมถามว่าจะเจ๊งได้ยังไง เพราะการทำ ต้องมีเงินเข้ามาถึงจะทำได้ หากงบยังไม่พร้อม ก็จะบอกประชาชนว่าขอให้รอก่อน ขัดข้องทางเทคนิคเล็กน้อย แต่ให้แน่นอน ก็จะอยู่ในช่วง ม.ค.-พ.ค. 2567 แต่มกราคมอาจไม่ทัน รอบแรกน่าจะอยู่ในช่วงก.พ.หรือมี.ค. แต่สงกรานต์ได้แน่นอน และจะได้เยอะ”นายกิตติเล่าถึงกระบวนการดำเนินการ …*…

สำหรับผลของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตนั้น นายกิตติให้ข้อมูลว่า ตามหลัก “ผลกระทบทวีคูณ” ทางเศรษฐศาสตร์ สมมุติหากจ่ายไปหนึ่งบาท จะเกิดคลื่น เหมือนโยนหินลงไปในน้ำ จะเกิดคลื่นหมุนเวียนกี่รอบ  ที่ไม่ใช่จีดีพี เรื่องนี้อยู่ที่แต่ละคนจะมีหลักทฤษฎีในการคิดอย่างไร บางคนอาจบอกว่าจะเกิด 2-3 รอบ แต่ตนว่าไม่ใช่ แต่จะเกิดถึง 6 รอบ …*…  

“การหมุนเวียนดังกล่าวหากใช้ดิจิทัลวอลเล็ต นักวิชาการบางคนบอกว่า จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตประมาณ3 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้ก็อยู่ที่จะมีตัวรั่วหรือไม่ เช่นสินค้านำเข้า เพราะคนรวย ก็จะนำสินค้าแบรนด์เนมเข้ามา ทำให้ตัวรั่วเยอะ แต่คนมีรายได้น้อยก็จะซื้อของในประเทศ อย่างเราคาดว่าจีดีพีจะโตที่3-3.5 เปอร์เซ็นต์ แต่หากหลังมีการดำเนินการตามนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ก็อาจไปได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ยืนยันว่านโยบายดังกล่าว เพื่อไทยทำแน่ หากไม่แน่ ก็กลับบ้าน”นายกิตติย้ำ …*…

ทว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคลัง กลับสัมภาษณ์ในเวลาถัดมาว่า เงินดิจิตอล 10,000 บาทจะจ่ายในงวดเดียว ไม่แบ่งจ่ายเป็นงวดๆ …*…

ก็ต้องรอดูกันต่อไป สุดท้ายแล้วนโยบายจากเงินดิจิตอล 10,000 บาท จะออกมาในรูปแบบใด และส่งผลเช่นไรต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ให้ประโยชน์คุ้มค่า หรือกลายเป็นสร้างปัญหาใหญ่ในอนาคตอย่างที่หลายฝ่ายได้เคยแสดงความหวั่นเกรงไว้ …*…

ที่มา:เจ้าพระยา (7/9/66)