วันที่ 22 ส.ค.66 เพจเฟซบุ๊ก โหนกระแส โพสต์ข้อความระบุว่า...
รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยในประเด็นการเมือง หลังนายทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทย ในขณะเดียวกันกับที่ในรัฐสภา กำลังมีการประชุมเพื่อโหวตเลือก นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชี้ว่า การกลับมาของคุณทักษิณในวันนี้ เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ไม่ได้บินตรงมาจากดูไบ ทั้งที่ทำได้ง่ายกว่า แต่มาพักอยู่ที่สิงคโปร์ 2 คืน รอจังหวะ รอเวลา ค่อยบินเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งเวลาที่มาพักที่สิงคโปร์นี้สำคัญมาก เป็นช่วงที่จะต้องมีการเจรจา ต่อรอง ในเรื่องของการตั้งรัฐบาล ให้นิ่งและมั่นคง จนทุกอย่างลงตัวแล้ว คุณทักษิณถึงเดินทางกลับเข้ามา
ดร.พร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ บอกว่าไม่จริงหรอก เป็นความบังเอิญมากกว่า ไม่มีการไปตกลง ไปดีลอะไรกันอย่างที่เข้าใจ การกลับบ้านของคุณทักษิณมีการเตรียมการกันมานานแล้ว แล้วเลื่อนออกมาเรื่อย จนมาลงตัวที่วันนี้ เรื่องการเจรจาร่วมรัฐบาลมันก็เป็นเรื่องของแกนนำพรรคเขาไปเจรจา ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน
การยอมกลับบ้านของคุณทักษิณเป็นเรื่องดีอย่าง ที่ท่านยอมกลืนเลือด กลับมาเพื่อรับโทษ เป็นจุดเริ่มต้นของความสมานฉันท์ สงครามสีเสื้อที่ผ่านมากว่า 20 ปี อาจจะมีสัญญาณที่ดี
ขณะที่ อ.ยุทธพร ยืนยันคำเดิมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เรียงกันนี้ เกี่ยวข้องเป็นเหตุเป็นผลกันหมด การเมืองในสภา ที่จะมีการโหวตนายกในสภา ถูกกลบด้วยการเมืองเรื่องคุณทักษิณทั้งวัน
ด้าน นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ ชี้ว่า ก่อนหน้านี้ตนตั้งข้อสังเกตว่า คุณทักษิณจะกลับก่อนโหวต(นายก) หรือจะโหวตก่อนกลับ ผลปรากฎว่า เห็นชัดว่ากลับมาก่อนโหวต คุณทักษิณเข้าไปสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว สิ่งนี้ต้องระวังมากๆ ถ้าพรรคเพื่อไทยที่กำลังจะได้ตั้งรัฐบาล แล้วอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้คุณทักษิณได้สบาย จะทำให้พรรคเสื่อมลง แต่สิ่งที่ต้องทำคือคืนความยุติธรรมให้คุณทักษิณ พิสูจน์ความจริง ทำให้เห็นว่าเขาถูกตั้งข้อหาไม่เป็นธรรม
แต่สิ่งที่เพื่อไทยต้องทำหลังจากนี้คือการกู้คืนความศรัทธา ไม่อย่างนั้นฐานเสียงจะไหลไปหาพรรคก้าวไกลจนหมด ต้องมีการผลัดใบในพรรค ดันคนรุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อให้ในอีก 4 ปีข้างหน้า ได้เห็นภาพการสู้กันของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ อย่างเพื่อไทย กับ ก้าวไกล ในกติกาที่เป็นธรรม
ขณะที่ ดร.พร้อมพงษ์ มองต่างว่า เพื่อไทยไม่มีทางเสื่อมความนิยมลง ถึงแม้ครั้งที่ผ่านมาจะไม่แลนด์สไลด์ แต่ในสถานการณ์การหาเสียงที่ยากลำบาก ก็ยังมาเป็นอันดับ 2 และเชื่อมั่นว่าเพื่อไทยจะแก้ปัญหาทั้งเศรษฐกิจปากท้อง เรื่องวิกฤตรัฐธรรมนูญ และเรื่องความขัดแย้ง ในช่วง 4 ปีที่เป็นรัฐบาล ถ้ารัฐบาลปรองดองชุดนี้ ถ้าบริหารได้ดี จะทำให้ประเทศเดินไปได้
ขณะที่ความเคลื่อนไหว ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ กรมราชทัณฑ์ ได้มีการตั้งโต๊ะแถลง กรณีของคุณทักษิณ โดยระบุว่า เป็นกลุ่มเปราะบาง อายุเกิน 60 ปี ดูจากประวัติการรักษา และผลการตรวจจากแพทย์ พบว่าคุณทักษิณมีโรคประจำตัว ต้องติดตามโดยแพทย์เฉพาะทางตลอด เบื้องต้นได้แยกขังไว้ที่โซนพิเศษ ที่แดน 7 ขังเพียงคนเดียว โดยมีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง
ขณะที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เข้าตรวจสอบโรคของนายทักษิณ มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ทานยาละลายลิ่มเลือดอยู่ตลอดเวลา มีประวัติปอดอักเสบรุนแรงเมื่อครั้งติดโควิด ทำให้เกิดพังผืดในปอด และปอดอักเสบเรื้อรัง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องความดันโลหิตสูง ต้องควบคุมตลอดเวลา และมีภาพวะเสื่อมตามอายุ ทั้งในเรื่องกระดูกสันหลัง มีการกดทับเส้นประสาท มีอาการปวดเรื้อรัง การทรงตัวผิดปกติ
จากอาการทั้งหมดที่ว่านี้ จัดว่านายทักษิณเป็นกลุ่มเปราะบาง ต้องได้รับการดูแลตามหลักการมาตรฐานของเรือนจำทั่วประเทศ
โดย นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เผยถึงแนวทางหลังรับนายทักษิณเข้าคุมขังในเรือนจำ จะต้องปฏิบัติตามแนวทางเหมือนกับผู้ต้องขังรายอื่นๆ มีสิทธิ์พบกับทนายความ มีสิทธิ์เยี่ยมญาติได้ตามสิทธิ์ทุกประการ
รศ.ดร.ยุทธพร เปิดประเด็นใหม่ ในเรื่องของพรรคเพื่อไทย ที่ตอนนี้ข้ามขั้ว ผิดคำสัญญาประชาชน ไปจับกับพรรคตรงข้าม ตอนนี้พรรคเพื่อไทยตอบโจทย์ถูก แต่ตั้งโจทย์ผิด คือทำตามที่ต้องการได้ ตั้งรัฐบาลได้ แต่โจทย์ของพรรคในวันนี้ไม่ใช่การเป็นรัฐบาล โจทย์คือทำอย่างไรจะกู้ศรัทธากลับมาได้ เพราะตอนนี้พรรคได้เสียความศรัทธาจากผู้สนับสนุน และฐานเสียงไปแล้ว
ขณะที่ ดร.พร้อมพงษ์บอกว่า นัยยะทางการเมืองกับการกลับมาของท่านทักษิณ มันไม่มี การกลับมาครั้งนี้มันเสี่ยงมาก รัฐบาลของเพื่อไทยยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง คนที่กุมอำนาจสูงสุดคือรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่าการกลับมาครั้งนี้ ท่านทักษิณยอมกลืนเลือด เพื่อให้บ้านเมืองมันข้ามความขัดแย้งไปได้
ขณะที่ วีรพัฒน์ มองว่า ความเคลื่อนไหวของคุณทักษิณหลังจากนี้ ควรจะต้องอยู่เงียบๆ อย่าออกมาปรากฏตามหน้าสื่อ ตามข่าวมากกว่านี้ เพราะจะทำให้การเคลื่อนไหวของเพื่อไทยผิดไปจากวัตถุประสงค์ เพื่อไทยหลังจากนี้ต้องเดินหน้าทำการเมืองสร้างสรรค์ ทำการเมืองมิติใหม่ เพื่อไทยและก้าวไกลจะทำตัวอย่างมืออาชีพ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน แต่จะร่วมกันผลักดันกฎหมายต่างๆ ให้ประชาชนได้ประโยชน์ ไม่เล่นการเมืองน้ำเน่าแบบเดิม มีสปิริตทางการเมือง แล้วผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จ
ขณะที่ รศ.ดร.ยุทธพร มองว่า ถ้าเพื่อไทยจะผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนขอสนับสนุน และเอาใจช่วย แต่เชื่อว่าทำได้ยาก ไม่แน่ใจว่าจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะอำนาจต่อรองในพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มลำบาก ต้องมีเสียง สว.มาสนับสนุนถึงจะแก้ได้
ขณะที่บรรยากาศการอภิปรายก่อนโหวตนายกในสภา สว.หลายท่านเริ่มเปิดประเด็นเรื่อง ความกังวลในการแก้รัฐธรรมนูญ มีแนวโน้มในการตีคุณเศรษฐาบ้างแล้ว จนท่าทีที่ดูเหมือนจะแน่นอน เริ่มไม่แน่นอนแล้ว
รศ.ดร.ยุทธพร ชี้ว่า ถึงแม้จะโหวตผ่านในวันนี้ ก็ไม่ใช่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย เส้นทางที่พรรคเพื่อไทยต้องแก้ยังอีกยาวไกล คุณทักษิณกลับมาครั้งนี้ ต้องการกลับมาแก้วิกฤตศรัทธาพรรคเพื่อไทยแน่ๆ ต้องออกจากการเมืองแบบเก่า การเมืองเชิงนโยบายประชานิยม ที่มันหมดอายุแล้ว
วีรพัฒน์ มองว่า สิ่งที่แปลกคือ ณ วันนี้ สว.ก็เริ่มมีท่าทีจะโหวตให้คุณเศรษฐา แต่คนกลุ่มเดียวที่ไม่ยอมโหวตให้ คือพรรคก้าวไกล ซึ่งหากก้าวไกลมองว่า จะตีรวนจนพรรคเพื่อไทยเสียคะแนนนิยมไปเรื่อยๆ แล้วคะแนนจะไหลมาหาก้าวไกล มันก็ถูก แต่มันเป็นประโยชน์ระยะสั้นๆ ในอนาคตถ้าก้าวไกลได้คะแนนนิยมสูงสุดอยู่พรรคเดียว มันไม่ยั่งยืน มีกรณีตัวอย่างมาแล้ว อย่างพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเหล่านี้ลงเอยอย่างไรเราเห็นกันมาแล้ว
ขณะที่ ดร.พร้อมพงษ์ มองว่า เมื่อเพื่อไทยเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร ได้จัดตั้งรัฐบาล ถ้าเขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แก้ปัญหาความขัดแย้งเหลืองแดงได้ จัดการความขัดแย้งที่เรื้อรังยาวนานได้ อีก 4 ปี ประชาชนก็จะยังเลือกเพื่อไทย
ช่วงท้ายของรายการ วีรพัฒน์ ยังตอบโต้คอมเมนต์ของแฟนคลับพรรคก้าวไกล ในเรื่องการเรียกร้องไม่ให้ก้าวไกลโหวตให้เศรษฐา โดยระบุว่า ถ้าในอนาคตพรรคเพื่อไทยไปเสนอกฎหมายที่พวกเขาต้องการ อย่างสมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า พวกคุณจะบอกให้ก้าวไกลออกมาค้านไหม แล้วยังระบุอีกว่า ฐานเสียงของพรรคก้าวไกล มีคุณภาพแบบนี้ พรรคก็คงต้องเหนื่อย กลัวว่าทำอะไรลงไปฐานเสียงจะมาด่า ถ้าฐานเสียงมีสติปัญญามากพอ จะรู้ว่าการเมืองมันลึกซึ้งกว่านั้น และเป็นเรื่องของการร่วมมือกัน