สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ …*…

จุดมุ่งหมายแรงกล้าของพรรคก้าวไกลในการแก้ไขมาตรา 112 ถึงขนาดยอมแลกกับเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และการเป็นแกนนำในรัฐบาล 8 พรรคร่วมนั้น ไม่เพียงทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าทำไมพรรคก้าวไกลถึงได้หมกมุ่นกับมาตรา 112 มากขนาดนี้ หากแต่ยังมีการตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า พรรคไหน ใครกันแน่ที่มีความพยายามใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือทางการเมือง ปลุกระดมมวลชน สร้างความแตกแยก เกลียดชัง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน …*…

 ภายใต้เหตุผลที่พรรคก้าวไกลอ้างว่าจำเป็นต้องแก้ไขมาตรา 112เนื่องด้วยในช่วงราว 2 ปีที่ผ่านมา มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 มากกว่า 200 คน เป็นการให้ข้อมูลไม่หมด เพราะมีการละเลย เลี่ยงที่จะพูดถึงพฤติกรรมอันนำมาซึ่งการตกเป็นผู้ต้องหาคดีความผิดตามมาตรา 112 ของกว่า 200 คนดังกล่าว …*…

กับความเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกล เกี่ยวกับมาตรา 112 มีมุมมองน่าสนใจจากอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระว่าตัวตนของ มาตรา 112 คือการคุ้มครองบุคลิกภาพของคนในสถาบันกษัตริย์ด้วยกรอบความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ดังนั้นเมื่อใครปฏิเสธสถาบันนี้  ก็ต้องเห็นในหลวงเป็นคนธรรมดา  ใครไปด่าว่าก็ไม่ถือเป็นเรื่องความมั่นคง รัฐก็ไม่เกี่ยว  ถ้าในหลวงติดใจ ก็ต้องไปแจ้งความเอาผิดเอาเอง เช่นคนธรรมดาทั่วไป การที่พรรคก้าวไกล เสนอให้เลิก 112 แล้วเอาความผิดนี้ออกจากหมวดความผิดต่อความมั่นคงไป มีฐานะเป็นความผิดเช่นดูหมิ่นคนธรรมดา   จึงเป็นการเลิกไม่นับในหลวงเป็นสถาบันของชาติอีกต่อไป …*…

ส่วนที่พรรคก้าวไกลบอกว่าไม่ได้ยกเลิก เพียงแค่แก้ไขมาตรา 112 นั้น อาจารย์แก้วสรรชี้ว่าไม่เป็นความจริง เพราะแม้ร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล จะยังมีบทบัญญัติว่าด้วยการใส่ความหรือดูหมิ่นในหลวงไว้โดยเฉพาะก็ตาม   แต่เมื่อเลิกไม่คุ้มครองด้วยหมวดความผิดต่อความมั่นคงอีกต่อไปแล้ว   นั่นก็คือการเลิกไม่นับถือในหลวงในฐานะเป็นสถาบันของชาติอีกต่อไปนั่นเอง …*…

 “แกนกลางของพวกเขาเห็นสังคมไทยทุกวันนี้เป็นขยะ  ขยะต้องถูกทำลายไม่ใช่ปฏิรูป   ต้องทำให้โครงสร้างส่วนบนฉิบหายสลายตัวไปเสียก่อน  จึงจะปูรากฐานสร้างบ้านเมืองใหม่ขึ้นมาได้ อำนาจจากประชาชนที่ก้าวไกลสร้างขึ้น จึงต้องเป็นอำนาจที่มีธรรมชาติปฏิวัติ   ไม่ใช่ปลุกให้เลือกตั้งหย่อนบัตรแล้ว ปล่อยกลับไปนอนรอดูผลที่บ้านอีก 4 ปี”อาจารย์แก้วสรรระบุ …*…

พร้อมกันนี้อาจารย์แก้วสรรอธิบายด้วยว่า ตามทฤษฎีจิตวิทยาการเมือง  การจะทำให้ประชาชนกลายเป็นอำนาจลุกฮือขึ้นนั้นก็ต้องสร้างให้คนธรรมดาๆ ถูกสิงสู่ด้วยชีวิตหมู่ปฏิวัติ   จนเป็นมวลชนที่ไวต่อโทสะ และพร้อมเสียสละ ปัจจัยจัดตั้งที่สำคัญที่สุดคือ ความจงเกลียดจงชัง เพราะคนเราเกลียดอะไรร่วมกันแล้วจะหลอมรวมเกิดชีวิตหมู่ได้ง่ายมาก   ทุกขบวนการมวลชนในอดีตจึงต้องมีปีศาจที่เลวร้ายและมีอิทธิฤทธิ์มาก มาให้ผู้คนเคียดแค้นเห็นเป็นต้นตอของความสิ้นหวังในปัจจุบันให้ได้เสียก่อน เช่น  ถ้าเป็นมวลชนคอมมิวนิสต์ ก็เป็นปีศาจนายทุน ถ้าเป็นมวลชนนาซีก็เป็นปีศาจยิว ถ้าเป็นมวลชนชาตินิยม ก็เป็นปีศาจจักรวรรดินิยม  แล้วถ้าเป็นเมืองไทย  คิดว่าใครที่วาดภาพให้เป็นปีศาจได้ง่ายและร้ายที่สุด? …*…

“เพื่อให้ดูขลังเห็นเป็นภาระโค่นล้มอันศักดิ์สิทธิ์   เขาก็เลยโมเมว่า เป็นมรดกที่คณะราษฎร์สืบสานส่งต่อมาให้เขาด้วย  นี่ถึงขนาดโทรศัพท์คุยข้ามภพกันได้เลย  คุณไม่เห็นหรือ ด้วยความเข้าใจเช่นนี้   การที่คุณไปหวังให้ก้าวไกลวางมือเรื่องแก้ไข 112 จึงไม่ต่างกับการไปขอให้ขบวนการนาซีของฮิตเลอร์เลิกยุ่งกับยิวเลยทีเดียว”ความเห็นจากอาจารย์แก้วสรร อีกทั้งยังเตือนด้วยว่า เมื่อผู้คนลงถนน  จนมีเหตุรุนแรงฆ่าฟันประชาชนเกิดขึ้น   แล้วแพร่ไปในโซเชียลเห็นเป็นศพเด็ก ผู้หญิงถูกยิงตาย จนมวลชนฮือออกจากบ้าน เกิดเป็น “อาหรับสปริง” หรือ “ฮ่องกงสปริง”  คือจุดระเบิด ที่ลามเป็นสงครามกลางเมืองได้   ฝรั่งเศสวันนี้ก็เกิดแล้ว  บ้านเราจะเกิด “ไทยสปริง” หรือไม่  นี่คือเรื่องที่ต้องวิตก …*…

ที่มา:เจ้าพระยา (20/7/66)