วันที่ 19 กรกฎาคม คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีการประชุมประจำสัปดาห์ วาระพิจารณาคำร้องกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 ( 6 ) ประกอบมาตรา 98 ( 3) หรือไม่นั้น รวมทั้งคำขอให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ไว้จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมนาน 2 ชั่วโมง ศาลรัฐธรรมนูญ ออกเอกสารข่าวเผยแพร่ผลการประชุม ระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา101(6)ประกอบมาตรา 98 (3)หรือไม่จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด มหาชน จำนวน 42,000 หุ้น โดยเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสี่ ประกอบวรรคหนึ่ง และพ.ร.ปว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 75 โดยให้นายพิธาผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้เข้ากล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 54
สำหรับคำขอของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธาผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้องประกอบกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายพิธาอาจก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายและการคัดค้านโต้แย้งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานสำคัญของที่ประชุมรัฐสภาและที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้จึงมีคำสั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ประชุมกกต.มีมติด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 เห็นว่ากรณีมีหลักฐานปรากฏว่านายพิธาเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดในวันสมัครรับเลือกตั้งอันเป็นลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งส.ส. และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพส.สของนายพิธาสิ้นสุดลง จึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย และได้มีการยื่นคำร้องในบ่ายวันเดียวกัน