นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการ ประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อวันที่ 17 ก.ค.66 ตอน "คิดให้ทัน?" ระบุว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยตำหนิพรรคก้าวไกลยื่นแก้ รธน. ม.272 สะท้อนถึงสัญญาณต้องเลิกลาจากกันอีกไม่นาน ยิ่งมาเสนอให้เร่งตั้งรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนผจญกับความทุกข์ยาก จึงแสดงถึงพฤติกรรมจะตระบัดสัตย์ ทิ้งฝ่าย 312 เสียงเพื่อข้ามขั้วไปตั้งรัฐบาลกับฝ่ายสืบทอดอำนาจ
อย่างไรก็ตาม เห็นว่า การเกิดงูเห่าเสาวภาถูกทาบทามย้ายข้างจำนวนมากนั้น ย่อมไม่เท่ากับการทรยศหักหลังประชาชน โดยเพื่อไทยเคยสัญญาไว้จะไม่ไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และฝ่ายสืบทอดอำนาจ ดังนั้น จึงไม่ต้องการให้เพื่อไทยไปทำในสิ่งที่แตกต่างจากที่ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนไว้ อีกอย่างขณะนี้ สถานการณ์ทางการเมืองของสองฝ่าย คือฝ่าย MOU 312 เสียง กับฝ่ายข้างน้อย 188 เสียง ได้ขีดเส้นแบ่งเขตกันชัดเจนชนิดไม่เผาผีกัน
นายจตุพร กล่าวถึงการโหวตนายกฯที่จะถึงนี้ว่า คงยากและเป็นไปไม่ได้ที่จะหาเสียง ส.ว.เพิ่มอีก 52 เสียงมาเติมกับอีก 13 เสียงที่เคยได้รับจากโหวตรอบแรกจนครบ 376 เสียงผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนสมาชิกสองสภา 750 เสียง เพราะการมุ่งมั่นกับการแก้ไข ม.112 จะเป็นอุปสรรคและไม่มีทาง ส.ว. 250 เสียงจะให้การสนับสนุน
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังประเมินว่า สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มในวันที่ 19 ก.ค. นี้ การโหวตหนุนนายพิธา เป็นนายกฯ รอบใหม่ พร้อมกับศาล รธน.มีประชุมพิจารณาคุณสมบัติต้องห้ามสมัคร ส.ส. สิ่งนี้ล้วนบ่งบอกถึงอนาคตการเมืองของเพื่อไทยกับก้าวไกลที่รอคอยการเลิกลาจากกัน แล้วเกิดการย้ายขั้วตั้งรัฐบาลมาแก้ปัญหาวาระประชาชน นำไปสู่ประชาชนไม่พอใจ
"ดังนั้น พรรคเพื่อไทยอ้างถึงการรีบไปเป็นรัฐบาลก็เพื่อสนองความอยากของพวกคุณต่างหาก แม้จะเป็นได้จริง แต่รัฐบาลตระบัดสัตย์ ไม่มีความชอบธรรม จะอยู่ไม่ได้ ปกครองไม่ได้ ประชาชนจะชุมนุมบนถนนลุกลามไปทั่วเมือง เมื่อมีคนตาย คนเจ็บ แล้วจะจบแบบเดิม คือ ทหารเข้าแทรกแซงยึดอำนาจอีก"
ขอบคุณ:รายกาารประเทศไทยต้องมาก่อน