ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้มีมติให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ( 3 )ประกอบมาตรา 101 ( 6 )หรือไม่ จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัทไอทีวีจำกัดมหาชนจำนวน 42,000 หุ้น รวมทั้งมีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย หลังใช้เวลากว่า 3 วัน รับฟังและพิจารณาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง จากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขอสำนักงาน กกต. โดยเห็นว่ามีข้อมูลพยานหลักฐานเพียงพอให้เชื่อว่ามีเหตุตามที่มีการยื่นคำร้องจริง โดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.ได้ลงนามในคำร้องและมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานฯ นำไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญทันที
วันนี้ “สยามรัฐออนไลน์” ขอเปิดประวัติ ที่มา ที่ไปของนายพิธา ดังนี้
“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” (เกิด 5 กันยายน พ.ศ. 2523) ชื่อเล่น ทิมเป็นนักธุรกิจและนักการเมืองชาวไทย หัวหน้าพรรคก้าวไกล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ เดิมสังกัดพรรคอนาคตใหม่ จากการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2562 เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมืองจากการอภิปรายนโยบายทางการเกษตร "ปัญหากระดุม 5 เม็ด" ภายใต้รัฐบาลของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเป็นบุตรชายคนโตในบรรดาพี่น้อง 2 คนของพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับลิลฎา ลิ้มเจริญรัตน์ และยังมีศักดิ์เป็นหลานลุงของผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และตามใจ ขำภโต อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นญาติฝ่ายมารดา โดยมีน้องชาย 1 คนคือ ภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์
พิธาเข้าศึกษาในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ด้วยนิสัยเกเรของเขา พงษ์ศักดิ์ ผู้เป็นบิดา ส่งพิธาไปศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์เมื่ออายุ 11 ปี ในเมืองฮามิลตันและอาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ที่ซึ่งพิธาจะเริ่มสนใจการเมืองจากแม่บ้านที่มักรับชมการอภิปรายสภาอยู่ตลอด นอกจากการศึกษาในโรงเรียน พิธาทำงานพิเศษเพื่อหาเงินใช้จากการปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ เก็บสตรอว์เบอร์รี และรับจ้างพาสุนัขเดินเล่น เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา พิธาเข้าศึกษาต่อที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาการเงิน (ภาคภาษาอังกฤษ) จบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากนั้นเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่ คณะการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ควบคู่กับการบริหารธุรกิจที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ อย่างไรก็ตาม หลังการเสียชีวิตของบิดาด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด พิธาตัดสินใจพักการศึกษาและกลับมาประเทศไทยเพื่อดูแลธุรกิจที่เป็นหนี้ต่อ
งานการเมือง
พิธาก้าวเข้าสู่วงการเมืองด้วยการเป็นที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง[9] ต่อมาพิธาสมัครเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ และได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคในลำดับที่ 4 และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งแรกที่ลงรับเลือกตั้ง โดยพิธาได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ในสัดส่วนของพรรคอนาคตใหม่
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 พิธาอภิปรายครั้งแรกในสภาประเด็นนโยบายทางการเกษตรของรัฐบาลประยุทธ์ โดยเฉพาะ "ปัญหากระดุม 5 เม็ด" ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พิธาเสนอการแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกรด้วยการติดกระดุม 5 เม็ด: ที่ดิน, หนี้สินการเกษตร, สารเคมีและการประกันราคาพืชผล, การแปรรูปและนวัตกรรม และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร จากการอภิปรายดังกล่าวของเขา พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชื่นชมการอภิปรายของพิธาว่าพูดถึงเรื่องปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ คนชายขอบ และเรื่องที่ดินได้เข้าประเด็น
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ในวันที่ 8 มีนาคม พิธาย้ายไปสังกัดพรรคก้าวไกลร่วมกับอดีตสมาชิกพรรคอีก 54 คน โดยพิธาได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค
ในวันที่ 18 พฤษภาคม พิธาพร้อมพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง พรรคเพื่อไทย, พรรคไทยสร้างไทย และพรรคประชาชาติ แถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของเขา โดยทุกพรรคพร้อมสนับสนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่นำมาใช้ตั้งรัฐบาลในการเมืองไทย พรรคร่วมรัฐบาลของพิธาจัดงานแถลงข่าวอีกครั้งเพื่อเปิดบันทึกความเข้าใจแก่สาธารณชนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ในบันทึกความเข้าใจมีการบรรจุประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ, สมรสเท่าเทียม, การปฏิรูปกองทัพและตำรวจ, การเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ, การกระจายอำนาจ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เป็นต้น
ชีวิตส่วนตัว
พิธาเคยสมรสกับชุติมา ทีปะนาถ นักแสดง สมรสเมื่อ พ.ศ. 2555 และหย่าร้างเมื่อ พ.ศ. 2561 บุตรสาวด้วยกัน 1 คนคือ พิพิม ทั้งสองมีสิทธิดูแลลูกเท่ากัน