'พิธา' ขอ “ส.ส.-ส.ว.” โหวตเพื่อเปลี่ยนอนาคต ลั่น หากปชช.ไม่ถอย ตนก็ไม่ถอย ชี้ ฟ้าเปิดแล้วอย่าฝืนธรรมชาติให้ฝนตกขึ้นดิน อ้อนปชช. ปรบมือให้คนไม่โหวตสวนเสียงส่วนใหญ่
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 9 กรกฎาคม 2566 ที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวปราศรัยขอบคุณชาวกรุงเทพฯ ที่ลงคะแนนให้พรรค ก.ก. ว่า ฝนจะตกฟ้าจะร้องประชาชนก็ไม่เคยทิ้งผม และผมก็จะไม่ทิ้งประชาชนเช่นกัน เรามาไกลเกินกว่าจะถอยแล้วใช่ไหมพี่น้อง เหนื่อยอีกนิดเดียวพวกเราจะถึงเส้นชัยไปด้วยกัน เหลือเวลาอีกเพียง 4 วันเท่านั้นที่จะเป็นเวลาประวัติศาสตร์ ทั่วโลกกำลังจับตาดูพวกเราอยู่ เวลาที่เหลือ 4 วันเราจะถึงเส้นชัยอย่างแน่นอน ประเทศไทยเป็นของประชาชนทุกคน ไม่ได้เป็นของใคร ในวันที่ 13 กรกฎาคม จะเป็นการตัดสินใจของนักการเมืองทั้งสภาล่างและสภาสูง ที่จะต้องตัดสินใจร่วมกัน ว่าสภาในอีก 1 ทศวรรษหรือศตวรรษ ของประเทศไทยจะเป็นแบบไหน ถ้าเราตัดสินใจถูกต้อง ให้โอกาสประเทศไทย เลือกประเทศไทยและอยู่กับอนาคต ประเทศไทยจะเจริญไม่เป็นสองรองใครแน่นอน แต่ถ้าเราเลือกผิด ฝืนมติประชาชน ทำให้ไม่ปกติของการเมืองไทย ในช่วง 10 ปีทีผ่านมา ยังคงไม่ปกติต่อไป ตนไม่รู้ว่าโอกาสทองแบบวันที่ 13 กรกฎาคมนี้จะมาถึงอีกเมื่อไร
นายพิธากล่าวต่อว่า การเดินทางของการเมืองเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ที่พี่น้องทุกคนไปใช้สิทธิ์ ทำให้ตนและพรรคก้าวไกลได้มา 14 ล้านเสียง พรรคเพื่อไทยได้มา 10 ล้านเสียง รวมกับพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลแล้ว มากกว่า 25 ล้านเสียง หรือมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างออกมาบอกว่าประเทศไทยต้องไม่เหมือนเดิม แต่ 2 เดือนที่ผ่านมา เหมือนเลือกตั้งเสร็จแล้วแต่มันไม่เสร็จเสียที มันเป็นเพราะความไม่ปกติของการเมืองไทย ที่มาจากรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ลบล้างอำนาจประชาชนมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โอกาสนี้จะเป็นการคืนความปกติให้กับการเมืองไทย ดังนั้นไม่ว่าพวกท่านจะมาจากสภาล่างหรือสภาสูงทั้ง 750 คน มีโอกาสที่จะคืนความปกติให้กับการเมืองไทยให้ประเทศไทยเดินหน้า ให้เราเท่าเทียมกัน และเท่าทันโลกกับเขาเสียที
“ผมขอส่งข้อความถึงประชาชนว่า ถ้าพวกคุณไม่ถอยผมก็ไม่ถอยเช่นกัน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าพวกเราร่วมมือกัน ดังนั้น 13 กรกฎาคมนี้ ผมพร้อมที่จะเป็นนายกฯ ของพวกคุณทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ รุ่นใหญ่ หรืออยู่ตรงไหนของประเทศไทย จะเลือกหรือไม่เลือกผมก็ตามขอให้นายกฯ ที่ชื่อพิธาได้รับใช้พวกคุณทุกคน ฝากถึงเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เราทุกคนล้วนเป็นผลลัพธ์จากความอปกติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผ่านการยุบพรรค การรัฐประหาร นิติสงคราม ไม่ว่าท่านจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลสามารถให้โอกาสประเทศไทย คืนความปกติให้กับประชาชนทุกคน ขอว่าอย่าพลาดโอกาสนี้ เพราะประชาชนอาจจะหมดศรัทธาในระบบรัฐสภา หมดศรัทธาในตัวพวกท่าน แล้วจะไม่ให้อภัยพวกเราอีก ขออย่าทำให้ประชาชนต้องผิดหวัง” นายพิธา กล่าว
นายพิธากล่าวต่อว่า ถึงพี่ๆ เพื่อนๆ สมาชิกวุฒิสภา แม้ว่าที่มาของพวกเราจะแตกต่างกัน แต่เราคือนักการเมืองของประชาชนเหมือนกัน ตนขอแสดงความขอบคุณและชื่นชมทุกท่านที่บอกว่าจะเป็น ส.ว.ที่ลงมติตามรัฐบาลเสียงข้างมาก และจะไม่โหวตสวนมติประชาชนแน่นอน ดังนั้นขอให้ทุกคนในที่นี้ปรบมือดังๆ ยาวๆ ให้กับทั้ง ส.ส.และส.ว. อย่างไรก็ตามที่มาของพวกเราอาจต่างกัน แต่เมื่อตนได้พูดคุยกับพวกเขา ๆ แต่เมื่อได้พูดคุยกับพวกเขา ๆ ก็ห่วงชาติบ้านเมืองไม่ต่างกันจากตน เขาก็ต้องการให้เศรษฐกิจดีขึ้น ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องการศึกษา การกีฬา ไม่ต่างกัน พวกท่านคืออดีตข้าราชการ อดีตทหาร เป็นคนที่มีประสบการณ์ที่สามารถช่วยประเทศนี้ได้ ดังนั้นเมื่อตนเป็นนายกฯ ก็จะขอทำงานร่วมกันในช่วง 1 ปีสุดท้ายที่เหลือของพวกท่าน ขออนุญาตปรึกษาและทำงานกับ ส.ว. ใน 1 ปีที่เหลือของท่าน เพื่อประชาชนเท่านั้น ไม่มีดีลลับ มีแต่ดีลรัก
“ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ ฝนตกมานานมากพอแล้ว ถึงเวลาฟ้าเปิดอย่าฝืนธรรมชาติอีกเลย เวลาฝนตกมันลงมาที่ดิน และตกทั่วฟ้า ฝนตกขึ้นฟ้ามันฝืนธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้ เราให้ธรรมชาติเป็นธรรมชาติ ให้ระบบเป็นระบบ” นายพิธากล่าว
นายพิธา กล่าวต่อว่า ตนไม่ใช่นายกฯ ที่สมบูรณ์แบบ แต่ตนจะเป็นนายกฯ ที่ขยันที่สุด ตนขอสัญญากับทุกคนว่าตนมีปัญหาคิดไม่ออกเมื่อไร ก็จะกลับมาที่ถนนและพูดคุยรับฟังพี่น้องประชาชน และขอถวายชีวิตนี้ให้กับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ตนสัญญากับทุกท่านไม่ได้ว่าการเดินทางของพวกเรา จะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง แต่หากมีอุปสรรคขวากหนามไปเรื่อยๆ และตราบใดที่เราเดินอยู่ด้วยกัน รับรองจะคุ้มค่าแน่นอน และในเมื่อตนสารภาพกับทุกคนอย่างนี้แล้วก็ขอเสียงคนที่จะเดินไปพร้อมกับนายกฯ ที่ชื่อพิธาหน่อย เอาให้ดังไปถึงทำเนียบรัฐบาลเลย วันนี้ไม่มีเหน็ดเหนื่อย ไม่มีท้อแท้ ตนเชื่อว่าเมื่อเราร่วมมือกันอะไรก็ไปเป็นไป ถึงเวลาที่ประเทศนี้ต้องขับเคลื่อนไปด้วยความหวัง พอกันทีกับความกลัว วันนี้ทุกอย่างอาจจะมืดมิด แต่ตนสัญญาว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่สว่างไสวของพี่น้องประชาชน