นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการ ประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อวันที่ 6 ก.ค.66 ตอน "รอวันหัก?" โดยเชื่อว่า หากบางพรรคคิดแต่ฝ่ายเดียวมุ่งบรรลุแผนข้ามขั้วตั้งรัฐบาลกับบางพรรคฝ่ายข้างน้อย 188 เสียงแล้ว บ้านเมืองย่อมหนีไม่พ้นวิกฤตหายนะและการเผชิญหน้าสุ่มเสี่ยงเกิดเหตุการณ์เลือดนองท้องช้างค่อนข้างชัดเจน
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อตำแหน่งประธานสภาไม่มีความไม่มั่นคง ยังเปลี่ยนกันฉับพลันใน 2 วันสุดท้ายได้ จึงแสดงถึงทางการเมืองจะไว้ใจอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น การเลือกนายกฯ ย่อมพลิกเปลี่ยนได้เช่นกันใน 3 วิธี โดยวิธีแรกโหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เสียง 376 ซึ่งเป็นไปได้ยากยิ่งกับการหาเสียง ส.ว.มาหนุนช่วยได้
ส่วนวิธีที่สองสั่งการให้งูเห่าหักดิบกันในการโหวตครั้งแรกครั้งเดียวไปเลย ไม่ต้องยืดเยื้อเพื่อป้องกันปัญหาลุกลามมาหักกันภายหลังได้อีก และวิธีที่สามฝ่ายข้างน้อย 188 เสียง ร่วมชิงนายกฯ ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แล้วค่อยกวาดต้อนเสียงให้เป็นข้างมากภายหลังได้
"ทุกวิธีนั้น ล้วนนำไปสู่การจบทางการเมืองทั้งสิ้น โดยวิธีแรกต้องได้เสียง 376 ย่อมเป็นไปได้ยากมาก นายพิธา ก็จบในโอกาสเป็นนายกฯ ส่วนวิธีที่สอง เมื่องูเห่าทำงานโหวตให้จบตั้งแต่ครั้งแรกแล้วคนจะออกมาเต็มถนนเช่นกัน และวิธีที่สามได้ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็จะจบตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงานด้วยซ้ำไป ดังนั้น ทั้งสามวิธีในการชิงนายกฯ ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ต้องดับเร็ว"
นายจตุพร เชื่อว่า ในสถานการณ์เลือกนายกฯ ขณะนี้ทุกฝ่ายล้วนขยับกันหมด หากแต่ละฝ่ายคุมตัวเองไม่ได้จะออกอาการรวน เกิดคิดผลีผลาม อย่างไรก็ตาม แม้บางพรรคจะพยายามวางแผนแต่งตัวข้ามขั้วได้ดีแค่ไหน เริ่มตั้งแต่ส่งนายพิธา ชิงนายกฯ ไปจนสุดทางแล้ว เมื่อไม่ได้ก็ไปถึงคิวอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หรือมาเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน แต่แคนดิเดตนายกฯ ทั้งหมดมีความน่าจะเป็นอย่างมากที่ไม่ผ่าน 376 เสียง
นอกจากนี้ยังกล่าวว่า การจี้ ส.ว.ให้เปลี่ยนใจนั้น ส.ว.ยากที่จะเลี้ยวกลับได้ แต่จี้บดบี้เอากับทักษิณแล้ว หากทำซ้ำๆ ย่อมมีโอกาสเลี้ยวได้ เพราะเป็นคนพร้อมที่จะเลี้ยวหนีได้ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าทั้งสามฝ่ายคือ ส.ว. ฝ่าย 312 เสียง และฝ่ายข้างน้อย 188 ล้วนเป็นคนจริงกัน ไม่แตกแถวไปหนุนฝ่ายใดแล้ว บ้านเมืองย่อมถึงทางตัน และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็อยู่รักษาการยาวไป
ขอบคุณ:รายการประเทศไทยต้องมาก่อน