วันที่ 20 มิ.ย. 66 ที่ทำการพรรคไทยสร้างไทย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะคณะกรรมการประสานงานในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แถลงภายหลังการประชุมในครั้งที่ 2 ว่า ข้อสรุปจะนำเสนอต่อที่ประชุม 8 หัวหน้าพรรคการเมืองวันที่ 22 มิ.ย.นี้ เพื่อขอมติก่อน ซึ่งในวันนี้มีการหารือ 10 เรื่อง 10 คณะ เช่น เรื่องภัยแล้ง เอลนีโญ คุยเพื่อหาทางออกในการบริหารจัดการน้ำ อ่างเก็บน้ำ คณะเอสเอมอีได้คุยเรื่องการส่งออกที่ชะลอตัวหนี้ครัวเรือน และการส่งเสริมเอสเอมอี คณะแก้ปัญหาฝุ่นPM 2.5 หารือเรื่องการส่งเสริมการออก กฎหมายพ.ร.บ.อากาศสะอาด จัดทำแผนที่ความเสี่ยงไฟป่า และคณะดิจิทัลฯ หารือการส่งเสริมใช้ดิจิทัลในรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดนี้ จะนำเสนอรายละเอียดแต่ละด้านในที่ประชุมพรรคร่วมเพื่อลงมติอีกครั้ง
ในส่วนของคณะค่าไฟ น้ำมัน พลังงาน ได้มีการเสนอปรับลดค่าไฟ และเสนอกับการต่ออายุเพื่อลดภาษีสรรพสามิตนำมันดีเซล คณะจังหวัดชายแดนใต้มีความหน้าในการตั้งเป้าหมาย และนำไปสู่สถานที่คุยสันติภาพใน 4 ปีของรัฐบาลและเรื่องการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาขน ซึ่งได้กำหนดโร้ดแมปแต่ละพรรค ที่นำไปสู่การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากเลือกตั้ง
ทั้งนี้ คณะกรรมการประสานงานในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ได้กำหนดเวลาที่จะปิดตัวลง เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ โดยจะประชุมครั้งสุดท้ายหลังการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ แล้ว ก่อนจะแจ้งคณะย่อยจัดทำรายงานสรุป เพื่อรายงานที่ประชุมพรรคร่วมอีกครั้ง
น.ส.ศิริกัญญา ยังกล่าวถึง การทำบันทึกข้อตกลง (MOU) 23 ข้อ ว่าจะเป็นภาพใหญ่ในการจัดทำนโยบาย โดยจะต้องลงรายละเอียดแต่ละกระทรวง ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากแต่ละพรรค ในการนำเสนอความเป็นเจ้ากระทรวง ทั้งนี้ อาจจะเพิ่มเติมจาก 23 ข้อ ของ MOU แต่จะต้องไม่ขัดแย้งกัน เพราะทั้งหมดจะต้องนำเสนอต่อหัวหน้าพรรคอีกครั้ง
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมวันนี้ มีการหารือ สถานการณ์การเมือง ภายหลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติรับรองผลการเลือกตั้งส.ส. ทั้ง 500 คน โดยมองว่า เป็นการทำหน้าที่ได้อย่างรวดเร็ว และรับรองส.ส. ครบ 500 คนในเวลาเดียวกัน ทำให้กระบวนการต่างๆ ทำได้รวดเร็วมากขึ้น วันนี้จึงได้พูดคุยเรื่องปฏิทินการเมืองเพื่อประเมินกรอบการทำงานของคณะกรรมการเปลี่ยนผ่าน และในการประชุมวันนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการจัดสรร “ครม.พิธา 1”
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า วันนี้คณะกรรมการฯ ได้รับฟังข้อเสนอ และผลศึกษาของคณะย่อยเป็นประโยชน์ในการทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชน ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ได้เสนอ 4 นโยบาย ของพรรคต่อที่ประชุมและมอบหมายให้คณะ ทำงานย่อยไปศึกษาเพิ่มเติม คือ1.นโยบายเขตธุรกิจใหม่ของพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา การอนุญาต การแก้กฎหมาย ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีโมเดลที่จะเข้าไปเติมเต็ม แก้ไขปัญหาด้านกฎหมายที่จะส่งเสริมเอสเอ็มอี ในเขตธุรกิจใหม่นำร่อง 4 พื้นที่ ได้แก่จ.เชียงใหม่ จ.ขอนแก่น กรุงเทพฯ และจ.สงขลา
2.เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ที่พรรคเพื่อไทยมีความเห็นว่าควรเซ็ตเป้าหมายในระยะไกลออกไปคือปี 2570 ที่เพื่อไทยประกาศว่าค่าแรงจะอยู่ที่ 600 บาท เพื่อให้ภาคเอกชนรู้ว่าในระยะยาวจะไปถึงจุดไหน นอกจากนี้ยังเสนออีกกลไก คือเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท คู่ขนานไปด้วย เป็นการยกระดับทั้งส่วนข่างและส่วนกลาง เป็นสองโมเดลที่ทำควบคู่กัน ทั้งนี้การขึ้นค่าแรงทำไม่ได้ถ้าไม่ดูแลภาคเอกชน และการดูแลภาคเอกชนที่ดีที่สุดคือการทำให้เศรษฐกิจขยายตัว จะทำให้ภาคเอกชนมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความสามารถในการจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้น จึงสนับสนุนการขึ้นค่าแรงตามภาวะเศรษฐกิจ ตามรายได้ของประเทศ
3.นโยบายการเข้าถึงแหล่งทุนของเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเห็นตรงกัน ในการใช้กลไกค่ำประกันสินเชื่อ สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น เพื่อปลดล๊อคการเข้าถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอี เพื่อไทยตั้งวงเงินไว้ 30,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ บสย. ทั้งงบประมาณและประสิทธิภาพ
และ 4.นโยบายตลาดทุน ซึ่งพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญกับการระดมทุน ปัจจุบันภาคเอกชนสามารถหาแหล่งทุนได้แค่ 2 แหล่ง คือเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ และการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งสองกลไกจะต้องเดินควบคู่กันเพื่อไทยสนับสนุนการสร้างตลาดทุนให้แข็งแกร่ง มีหัวใจอยู่ที่สภาพคล่อง เพื่อจะเป็นแหล่งระดมทุนในการสร้างเศรษฐกิจประเทศ โดยตลาดทุนของพรรคเพื่อไทยยังมีตลาดทุนคู่ขนานในเรื่องของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ในการระดมทุนเพื่อสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลให้เกิดขึ้น นี่คือสี่นโยบายที่เพื่อไทยนำเสนอต่อที่ประชุม
นายเผ่าภูมิ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า วันนี้เป็นโอกาสดี ที่แต่ละนโยบายถูกเผยออกมา และพูดถึงข้อดี ข้อเสีย หาจุดลงตัวร่วมกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ และประชาชน พร้อมย้ำว่า นี่คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย