“เพนกวิน”เฮ! ศาลยกฟ้องกับพวกรวม12คนไม่ผิด ม.116 ร่วมชุมนุมเยาวชนปลดแอกปี 63 เเต่ผิดข้อหามั่วสุมฯ-พรบ.รักษาความสะอาด สั่งคุกคนละ 2 เดือนปรับ2พันรอลงอาญา 2 ปี

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง ยื่นฟ้องนายพริษฐ์ หรือเพนกวินกับพวก รวม 12 ราย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา มาตรา 116, มาตรา 215 วรรคสาม และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เเละความผิดอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองในนามกลุ่มเยาวชนปลดแอก จัดกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 18 ก.ค. 63 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยใช้หัวข้อเรื่อง “ใครไม่ทนให้ไปกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย”

โดยศาลอาญาพิจารณาแล้ว การที่จำเลยทั้ง12 เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมลงมาบนถนนราชดำเนินกลางในลักษณะเดินลงมาบนพื้นผิว จราจรเต็มพื้นที่บนถนนราชดำเนินกลางบริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์และติดตั้งเวทีบนถนนราชดำเนินกลางบริเวณขอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็น การฝ่าฝืนกฎหมาย และมีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยที่ 1-8 และที่ 10,11 ได้สลับกันขึ้นพูดปราศรัยบนเวที โดยไม่ได้คำนึงว่าจะเป็นการฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และกฎหมายใดๆ อันเป็นการแสดงให้ปรากฏต่อ ประชาชน ด้วยวาจาหนังสือ หรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำ ในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดย สุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน แต่ลักษณะการกระทำยังไม่ส่อเจตนาว่าเป็นการทำถึงขนาดเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือ กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร

ทั้งนี้ พิพากษาว่า จำเลยทั้ง12 มีความผิดตาม พรบ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 19,57พรบ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 114 วรรคหนึ่ง, 148วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3), 215วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้ง12 เป็นความผิดหลาย กรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดบนถนน อันเป็นการกีด ขวางการจราจร และกีดขวางทางสาธารณะ เป็นกรรมเดี่ยวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พรบ.รักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ฯมาตรา 19,57 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ปรับจำเลยทั้ง12 คนละ 1 พันบาท ,ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นกระทำให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง กับฐานกระทำให้ปรากฏ แก่ประชาชนด้วยวาจาเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ,ลงโทษฐานกระทำให้ปรากฏ แก่ประชาชนด้วยวาจา เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91รวมจำคุกจำเลยทั้ง12 คนละ 2เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท

ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสิบสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้รอการ ลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ยกฟ้องความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯและฐานใช้ เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อโคโรนา 19 จึงสามารถจัด กิจกรรมการชุมนุมได้เพียงแต่ข้อกำหนดฯบังคับให้ผู้จัดการชุมนุมต้องมีมาตรการป้องกันโรคเท่านั้น และการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียงเป็น หน้าที่ของผู้จัดการชุมนุมเท่านั้น

นอกจากนี้ พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสิบสองเป็นผู้จัดการชุมนุม จึงไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯและ ไม่มีความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ทางนำสืบของ โจทก์ไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยคนใดเป็นผู้กระแทกแผงเหล็กใส่ผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้ไม่ได้ ในส่วนของจำเลยที่ 9 เมื่อ ข้อเท็จจริงรับฟังว่าข้อความตามป้ายที่จำเลยที่ 9 ถ่ายภาพโพสต์ลงในเฟสบุ๊คยังไม่ถึงขนาดที่จะส่อเจตนาเพื่อก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้าง กระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร จำเลยที่ 9 จึงไม่มีความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์