เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 12 มิ.ย. 66 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลแถลงกรณีจากการถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ว่า สืบเนื่องจากการรายงานข่าว ในรายการข่าวสามมิติ ซึ่งได้มีการเผยแพร่ไปเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีความขัดแย้งของข้อมูลสองประการ คือ 1.ความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุมสามัญประจำปี 2566 ของบริษัทไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 66 และการรายงานผลการประชุมผู้ถิอหุ้นประจำปีของบริษัทไอทีวี ในประเด็นที่ว่า“มีดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่” นั้น 

โดยก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุดังกล่าว นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบในกรณีการถือหุ้นสื่อของนายพิธา และก่อนที่จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพียง 2 วัน นายนิกม์ แสงศิรินาวิน อดีตผู้สมัครส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 66 ที่อาจจะเชื่อมโยงกับกรณีข้างต้นเช่นกัน

ทั้งนี้ นายชัยธวัชตั้งข้อสงสัยว่า มีการวางแผนที่จะให้นายภานุวัฒน์ ขวัญยืน ผู้ถือหุ้นไอทีวีที่ได้รับการโอนหุ้นมาจากนายนิกม์ ชงคำถามในที่ประชุม เพื่อให้ได้คำตอบที่ตนต้องการ ว่า “บริษัทไอทีวี ยังดำเนินการเป็นสื่อมวลชนอยู่” หรือไม่ แต่ปรากฏว่านายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท กลับให้คำตอบว่า “ตอนนี้ไอทีวี ไม่มีการดำเนินการกิจการสื่อ” และภายหลังก็ได้มีการระบุในรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นว่า “ปัจจุบันไอทีวียังดำเนินกิจการสื่ออยู่” ซึ่งเป็นความขัดแย้งกันของสองส่วนนี้ และพฤติการณ์นี้อาจจะเข้าข่ายการทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเท็จหรือไม่ และถือเป็นการทำผิดกฎหมายอีกหลายฉบับหรือไม่ ทางนี้ผู้มีอำนาจในบริษัทไอทีวี และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว รวมถึงกรรมการผู้สอบทานและแก้ไขรายงานการประชุม จะต้องตอบคำถามต่อสังคมให้ชัดเจน

ซึ่งข้อพิรุธดังกล่าวข้างต้น เป็นที่น่าสังเกตว่าเป็นการกระทำเพื่อสกัดกั้นการจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง และมีความพยายามในการฟื้นคืนชีพไอทีวีขึ้นมาหรือไม่

 

2.ความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุมสามัญประจำปี 2566 ของบริษัทไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 66 และการนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยได้การยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในวันที่ 10 พ.ค. ซึ่งเกิดการดังกล่าวเกิดขึ้นเพียง 4 วันก่อนการเลือกต้้ง และเป็นวันเดียวกันกับที่นายเรืองไกรไปร้องต่อกกต.

อีกทั้ง หากพิจารณาในรายละเอียด “แบบนำส่งงบการเงิน” จะพบว่ามีการระบุประเภทธุรกิจว่า “สื่อโทรทัศน์” และระบุสินค้า/บริการว่า “สื่อโฆษณาและผลตอบแทนจากการลงทุน” จากเดิม ที่ในปี 2561-2562 ระบุประเภทธุรกิจว่า“กิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก” แล้วในปีบัญชี 2563-2564 ระบุประเภทธุรกิจว่า“สื่อโทรทัศน์” โดยในส่วนสินค้า/บริการ ระบุว่า “ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากติดคดีความ”

ซึ่งข้อพิรุธในกรณีข้างต้น จะเห็นได้ว่าในแง่พฤติการณ์ ข้อเท็จจริง และช่วงระยะเวลาการเสนอแผนธุรกิจ รวมถึงการรับรู้รายได้จากแผนธุรกิจใหม่ มีความไม่สอดคล้องกันและขัดแย้งกันเองเป็นอย่างยิ่ง และไม่ใช่ความบังเอิญ หรือเป็นการจัดทำเอกสารรายงานการประชุมตามแบบแผนปกติ แต่เป็นการจงใจแก้ไขให้สอดรับกับบรรดาเอกสารต่างๆที่ตกแต่งจัดทำขึ้นในภายหลังหรือไม่ 

“พรรคก้าวไกลขอยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า เราจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องรักษาเสียงของประชาชน ผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศในระบอบประชาธิปไตยให้ได้” นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า แม้จะมีความพยายามจากบุคคลบางกลุ่มที่ต้องการจะใช้ประเด็นหุ้นไอทีวีเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส. ก่อนที่จะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พรรคก้าวไกลยังเชื่อมั่นว่า อำนาจของประชาชนจะได้รับชัยชนะในที่สุด และกกต.จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างบริสุทธิ์ และยุติธรรม ตามเจตจำนงที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองครอบงำสื่อมวลชนของรัฐธรรมนูญประกอบกับ บรรทัดฐานคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาที่ผ่านมา

 

ส่วนกรณีที่ กกต. อาจจะดำเนินคดีกับนายพิธาในอนาคต ตามความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 151 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. นายชัยธวัชกล่าวว่า พรรคก้าวไกลมั่นใจว่า ข้อกล่าวหานี้ไม่มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ เช่นเดียวกับที่อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไปแล้วเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 65 ในคดีการหุ้นวีลัค

เมื่อถามว่าหลักฐานคลิปวิดีโอไม่ได้หักล้างโดยตรงว่านายพิธา ได้ถือหุ้นไว้จริงหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า มีส่วนสำคัญ หากฟังดีๆ จะมีเนื้อหาบางส่วนที่มีนัยสำคัญ ว่าตกลงไอทีวียังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่หรือไม่ และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับกระบวนการปลุกผีไอทีวีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลายราย

เมื่อถามว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกระบวนการนี้ นายชัยธวัช กล่าวว่า ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะกล่าวหาคนใดคนหนึ่ง แต่เชื่อว่าพี่น้องประชาชนสามารถคาดเดาได้จากพฤติกรรมดังกล่าว ว่ามีใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยพรรคก้าวไกลเริ่มเห็นแล้วว่าพอจะมีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่ทราบว่ามีพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังหรือไม่ 

เมื่อถามว่า จะดำเนินคดีกับใคร และเมื่อไหร่ นายชัยธวัช กล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่

เมื่อถามว่า หาก กกต. มีการสอบสวนเรื่องนี้เพื่อเตรียมส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ นายชัยธวัช กล่าวว่า เราก็จะต่อสู้เต็มที่ทางข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพื่อไม่ให้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครกล้ารวบรัดตัดตอนฟ้องร้องได้อีก เพราะเห็นแล้วว่ากรณีนี้มีความซับซ้อน และทางไอทีวีไม่มีเหตุผลที่จะรีรอ ไม่ชี้แจง ควรต้องเปิดเผยคลิปการประชุมฉบับเต็ม เพื่อให้สังคมหายสงสัย ไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการเปิดคลิปออกมา

เมื่อถามย้ำว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังใช่อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ หรือไม่ นายชัยธวัช ตอบทันทีว่า "ไม่ใช่ ตัวเล็กไป"

"สำหรับเรื่องที่บอกว่า มีการสร้างเอกสารเท็จ โจทก์อาจจะกลายเป็นผู้ต้องหา และผู้ต้องหาอาจจะกลายเป็นโจทก์ก็ได้อย่าเพิ่งสรุปตอนนี้ ต้องรอดูข้อเท็จจริง ว่าทางไอทีวีและผู้เกี่ยวข้อง ถ้าเรื่องนี้ตรงไปตรงมาจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการชี้แจงและเปิดเผยหลักฐานทั้งหมด โดยเฉพาะคลิปฉบับเต็ม" นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช ยังกล่าวอีกว่า หากเรื่องนี้มีความกระจ่างสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ก็ไม่มีข้ออ้างในการโหวต นายพิธา เป็นนายกฯ ขณะที่ รายละเอียดในการต่อสู้ทางกฎหมายต้องรอว่า กกต. จะส่งเรื่องมาที่พรรคก้าวไกลอย่างไร 

"ผมคิดว่าตอนนี้สังคมกำลังรอคำตอบจากไอทีวี ส่งถึงผู้บริหารสายงานกฎหมายของอินทัช ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง การตรวจสอบ และอีกหลายคนที่อาจเกี่ยวข้องกับงบการเงินของบริษัทไอทีวี" นายชัยธวัช กล่าว