ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)มีมติ ไม่รับคำร้องกรณี กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. กรณีการถือหุ้นสื่อไอทีวี 42,000 หุ้น แต่สั่งให้ดำเนินการไต่ส่วนเรื่องดังกล่าวเนื่องจากคำร้องมีข้อมูลเพียงพอที่จะสืบสวนไต่สวนว่า นายพิธาเป็นบุคคลมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามมาตรา 151 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า (พ.ร.ป.) ด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

ที่ผ่านมา นายพิธา ก็เคยเห็นชะตากรรมที่เคยเกิดขึ้นกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ด้วยเหตุการถือครองหุ้นสื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ไปแล้ว เมื่อวันที่ 25 มี.ค.62 หลังนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบการถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ของ นายธนาธร ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ที่ห้ามผู้เป็น ส.ส.เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด หรือไม่

และหลังจากรับเรื่องวันที่ 16 พ.ค.62 กกต.ได้ส่งร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพของนายธนาธร กระทั่งเมื่อวันที่ 20 พ.ย.62 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายธนาธร สิ้นสภาพ ส.ส.จากเหตุถือหุ้นใน บ.วีลัค มีเดียจำกัด เนื่องจากเมื่อวันที่ 6 ก.พ.66 นายธนาธร ยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่พรรคอนาคตใหม่ส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อต่อ กกต.

จึงมีคำถามว่า เหตุใด นายพิธา จึงยังถือครองหุ้นไอทีวี มาอย่างยาวนานถึง 17 ปี เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่แล้ว และคงต้องลุ้นกันว่า การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบของ กกต. ในมาตรา 151 นั้น จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่