สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ …*…
แม้การเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปแล้วร่วมเดือน แต่ทิศทางการเมืองไทยยังไร้ความชัดเจน ไม่มีใครการันตีได้ว่าการจับมือกันของ 8 พรรคกว่า 300 เสียง จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จริง …*…
รวมถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กำลังขะมักเขม้นกับการเดินสายเล่นบทว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ก็ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างน่าเป็นห่วง มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่จะถูกเช็คบิลจากกรณีถือหุ้นสื่อ(ไอทีวี) ซ้ำยังอาจกระทบไปถึงบรรดาว่าที่ส.ส.ทั้งหมดของพรรคก้าวไกลอีกด้วย …*…
ว่าไปแล้วถึงวันนี้ ยังน่าสงสัยว่า ทำไมนายพิธา และพรรคก้าวไกลถึงปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้น ทั้งที่เคยมีบทเรียนจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่มาแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเหตุที่เกิดขึ้นมาจากความละอ่อนทางข้อกฎหมาย รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเป็นเพราะมีวาระซ่อนเร้นใดแอบแฝงอยู่ ทว่า บังเอิญผิดแผน เพราะพรรคก้าวไกลสามารถกวาด ส.ส.เข้ามาเป็นอันดับ 1 เลยทำให้ต้องตกที่นั่ง “ติดกับดักตัวเอง” …*…
และนายพิธาจากที่เคยเล่นบทนิ่งต่อปมหุ้นสื่อ แสดงความมั่นอกมั่นใจมาตลอดว่าจะสามารถฝ่าด่านได้ไม่ยาก ล่าสุด ก็ต้องออกมาร่ายยาวแจกแจงประเด็นต่าง ๆ ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว …*…
“หุ้นตัวนี้ เป็นหนึ่งในหุ้นอันเป็นกองมรดกของคุณพ่อที่ผมถือครองแทนทายาทอื่น ซึ่งมีหุ้นหลายตัวที่ถูกเพิกถอนหุ้นสามัญออกจากตลาดหลักทรัพย์ และไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เป็นเหตุให้ผมได้รับมอบหมายจากทายาทให้ถือครองหุ้นไว้แทนทายาทอื่น จนเมื่อผมเข้ามาทำงานการเมืองในฐานะ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช. ในเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ด้วยความบริสุทธิ์ใจทุกประการ” หัวหน้าพรรคก้าวไกลโพสต์ชี้แจง …*…
พร้อมกันนี้นายพิธาอ้างว่าได้พบข้อพิรุธหลายประการในความพยายามฟื้นคืนชีพไอทีวีเพื่อเล่นงานตัวเอง เป็นเหตุให้ตัดสินใจหารือทายาทที่มอบหมายให้ตนถือครองหุ้นไอทีวีเป็นมรดกของบิดาไว้แทนทายาทอื่น จนได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ให้ตนจัดการแบ่งมรดกหุ้น ไอทีวีให้แก่ทายาทอื่นไปโดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันปัญหาจากกระบวนการฟื้นคืนชีพความเป็นสื่อมวลชนให้กับไอทีวี …*…
อย่างไรก็ตาม การที่นายพิธาเพิ่งมาเลือกเคลียร์หุ้นไอทีวีของตัวเองในเวลานี้ นอกจากไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว กลับยังเป็นผลเสียต่อนายพิธาเองด้วยซ้ำ …*…
“การขายหุ้นหลังจากสมัคร จึงไม่น่าจะเกิดประโยชน์ในรูปคดี เพราะผิดก็ยังคงผิด หากไม่ผิด ก็คือ ไม่ผิด แต่การขายทำให้คล้ายว่า เรายอมรับว่า น่าจะผิด เลยขายทิ้งก่อนเลือกนายก ฯ”ความเห็นจากนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) …*…
และที่ต้องรอดูกันต่อไปว่าจังหวะก้าวของนายพิธาจะเป็นไปตามแผนบันได 3 ขั้น อย่างที่มีบางฝ่ายเคยเสนอไว้หรือไม่ โดยขั้นแรกคือการสลัดหุ้นไอทีวีให้พ้นตัว ตามมาด้วยการชิงลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค และสละตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อของก้าวไกล ก่อนที่กกต.ประกาศรับรองส.ส. เพื่อปลดชนักติดหลังเรื่องถือหุ้นสื่อ เปิดโอกาสให้นายพิธายังสามารถเป็นนายกฯได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้กำหนดให้ นายกฯต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น …*…
ที่มา:เจ้าพระยา (8/6/66)