เมื่อเวลา 12.50 น. วันที่ 6 มิ.ย. 66 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมตัวแทนคณะทำงาน 7 คณะครั้งแรก ของ 8 พรรคร่วม ถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมาให้ข้อมูลในคดีการถือหุ้นไอทีวี ภายหลังจากกระแสข่าวว่านายพิธาได้การขายหุ้นทั้งหมดไปเมื่อเดือนพ.ค. ว่า ไม่ใช่ขายแต่โอนให้ทายาทเรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมาตนมั่นใจในข้อกฎหมายและหลักฐานของตน ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะมีความพยายามในการฟื้นคืนชีพไอทีวีขึ้นมา ถ้าเกิดขึ้นจริงไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางธุรกิจ หรือทางการเมือง ตนจึงตัดสินใจโอนหุ้นไอทีวีให้กับทายาท ซึ่งไม่คิดจะเป็นประเด็นอะไร เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาเรื่องที่ต้องชี้แจงทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องหุ้นไอทีวี ก็เป็นไปตามที่โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊ก แต่จุดตัดอยู่ที่อนาคตมีโอกาสที่ไอทีวีจะฟื้นฟูกลับมาทำธุรกิจต่อ 

“หลายคนก็ออกมาบอกว่า มีความพยายามสกัดกั้นผมออกจากการเมือง ผมได้ยินอย่างนี้ แน่นอนว่าต้องกังวล เพราะอดีตกับอนาคตไม่เหมือนกัน อย่างที่บอกว่าอดีตก็คืออดีต แต่ในอนาคตมีความไม่แน่นอนอยู่ ดังนั้นต้องมีความแน่นอน เพื่อให้ตั้งรัฐบาลให้ได้” นายพิธา กล่าว 

เมื่อถาม ว่าจะกระทบคุณสมบัติการเป็น ส.ส. หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องดูในรายละเอียด แต่รอทาง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประสานมา ตนจะได้ชี้แจง เพราะไม่แน่ใจว่าสงสัยในประเด็นใด 

เมื่อถามว่ามีรายงานว่า กกต. จะส่งหนังสือมาภายในสัปดาห์นี้ พร้อมชี้แจงใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ใช่ เมื่อถามต่อว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าการโอนหุ้นเป็นการปัดเรื่องให้พ้นตัวหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่าเป็นการโอน เพื่อป้องกันอนาคต ในการฟื้นคืนชีพไอทีวี

“โอนเพื่อป้องกันว่าในอนาคตจะมีการฟื้นคืนชีพไอทีวี ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางธุรกิจของเขา หรือเป็นเพราะเหตุผลทางการเมืองในการสกัดกั้นผม เพราะฉะนั้นเราต้องป้องกันความเสี่ยงตรงนี้เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ออกมาระบุว่า ไม่ห่วงเรื่องเช็คบิลถ้าออกจากอำนาจ นายพิธา กล่าวว่า อนุมานได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ ยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ในช่วง 9 ปีผ่านมามีการประพฤติผิดมิชอบอะไรบ้างเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ตั้งแต่รัฐบาลชุดแรกถึงชุดที่ 2 เรียนพล.อ.ประยุทธ์ ว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่จะต้องการเช็คบิล หรือแก้แค้นแต่อย่างใด แต่ต้องการเพื่อให้เกิดวัฒนธรรมรับผิดรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่อำนาจผ่านการทำรัฐประหาร การใช้มาตรา 44 ในหลายๆ เรื่อง ที่มีผลกระทบต่อประชาชนในหลายกฎหมายทางการทวงคืนผืนป่า หรือกระทบต่อสิทธิมนุษยชน