นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า หลังจาก 8 พรรคร่วมรัฐบาลเตรียมจัดทำ MOU ปฏิรูปการจัดทำระบบงบประมาณใหม่(ฐานศูนย์) ZBB. : Zero-Based Budgeting เป็นแนวคิดแตกต่างจากเดิม จึงเตรียมหารือกับ 4 หน่วยงานหลักในการจัดทำงบประมาณคือ สภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง ธปท. สำนักงบประมาณ โดยในส่วนของสภาพัฒน์ต้องเร่งศึกษาหาข้อมูล รองรับการจัดทำประมาณแบบฐานศูนย์(ZBB) เพราะประเทศไทยยังไม่เคยจัดทำงบแบบนี้มาก่อน
ทั้งนี้ยอมรับว่า งบจ่ายประจำปี 2567 ล่าช้าจากเตรียมการเลือกตั้งจึงต้องเร่งจัดทำงบให้แล้วเสร็จ เพื่ออัดฉีดเงินออกสู่ระบบไปก่อน ส่วนการจัดทำงบประมาณแบบฐานศูนย์ (ZBB) อาจต้องเริ่มจัดทำได้ในงบปี 2568-2569 และต้องทบทวนโครงการทุก 5 ปี หรือ 10 ปี เพราะหากจัดสรรงบประมาณไปให้หน่วยงานแล้วไม่เกิดประโยชน์เพิ่มขึ้นต้องทบทวนใหม่ ไม่ใช่จัดสรรเพิ่มเติมให้ทุกปี ส่วนโครงการใดใส่เม็ดเงินเข้าไปแล้วเกิดประโยชน์ต้องจัดสรรต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อการใช้งบประมาณ ทั้ง 4 หน่วยงานจัดทำงบประมาณต้องศึกษาหาข้อมูลมาวางแผนเยอะมาก โดยเฉพาะการศึกษาผลดี ผลเสีย ผลสำเร็จจากบางประเทศมาจัดทำงบประมาณในลักษณะดังกล่าว
นายดนุชากล่าวอีกว่า แนวคิดการจัดทำงบประมาณแบบรัฐสวัสดิการ สำหรับประเทศไทยอาจมีข้อจำกัด เพราะฐานภาษีต่ำ ยื่นแบบเสียภาษี 10-11 ล้านคน แต่จ่ายภาษีเพียง 4 ล้านคน แตกต่างจากยุโรปหลายประเทศ จ่ายภาษีสูงมาก จึงมีงบประมาณนำมาเป็นสวัสดิการให้ในช่วงวัยชรา หรือตกงาน หากไทยต้องการจัดสรรงบประมาณแบบสวัสดิการต้องช่วยเหลือตรงกลุ่มเป้าหมายที่มีปัญหา ด้อยโอกาส จากนั้นเข้าไปพัฒนาจนดีขึ้น ผ่านพ้นปัญหา และยืนอยู่ด้วยตนเองได้ในระยะยาว
สำหรับนโยบายการปรับเพิ่มค่าแรงต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะส่งผลหลายด้าน กระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติ เมื่อนักลงทุนเทียบค่าแรงกับประเทศอื่น ไทยจึงต้องพัฒนาทักษะแรงงานเพิ่ม ควรกำหนดค่าแรงงานขั้นต่ำต้องพิจารณาสถานการณ์ของประเทศให้เหมาะสม ควรกำหนดค่าแรงในแต่ละจังหวัดแตกต่างกันตามความเจริญ ค่าครองชีพ ท้ายที่สุดต้องขึ้นอยู่กับการหารือของคณะกรรมการไตรภาคีคือ นายจ้าง ลูกจ้าง รัฐบาล หากเพิ่มค่าจ้างนักศึกษาจบปริญญาตรีในส่วนภาครัฐต้องจัดตั้งงบประมาณใหม่ทั้งหมด อาจกระทบฐานะทางการคลังและส่งผลไปยังบริษัทเอกชน กระทบต้นทุนไปยังราคาสินค้าเพิ่ม