ผู้ประกอบการธุรกิจบนเกาะหลีเป๊ะ ร้านค้าและแรงงาน ชูป้ายวอนบิ๊กโจ๊กเห็นใจ แก้กฎกระทรวงให้พวกตนมีใบอนุญาตประกอบกิจการถูกต้องตามกฎหมาย หลังมีความพยายามขับเคลื่อนแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
วันที่ 26 มี.ค.66 ผู้ประกอบการและธุรกิจต่อเนื่องการท่องเที่ยวรวมทั้งแรงงาน บนเกาะหลีเป๊ะกว่า 400 คน ชุมนุมบริเวณถนนคนเดินเรียกร้องให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติผ่อนผันการรื้อถอนสถานประกอบการ ที่พัก ไม่จดทะเบียน ชี้จะทำให้คนตกงานและกระทบการท่องเที่ยว พร้อมยืนยันไม่ใช่คู่ขัดแย้งของชาวเล ทางสมาคมการค้าผู้ประกอบการธุรกิจเกาะหลีเป๊ะ ยังมีโครงการจัดหาเส้นทางสาธารณะก่อนที่จะเกิดข้อพิพาท
ล่าสุด กลุ่มผู้ประกอบการ ธุรกิจต่อเนื่องการท่องเที่ยวและแรงงาน 400 คที่มาจากโรงแรม ที่พัก รีสอร์ทและรวมถึงร้านขายอาหารและสินค้า พากันชุมนุมที่บริเวณถนนคนเดินบนเกาะหลีเป๊ะชูป้ายเรียกร้องขอให้ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นใจกลุ่มผู้ประกอบการโดยยืนยันว่า ที่ผ่านมามีความพยายามในการยื่นขอจดทะเบียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จและยืนยันว่าทุกคนอยากจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ทั้งนี้ผู้ประกอบการและชาวบ้านส่วนใหญ่ ยืนยันว่าหากมีการบังคับใช้กฎหมายตามที่คณะกรรมการแก้ปัญหาข้อพิพาทบนเกาะหลีเป๊ะจะเร่งดำเนินการอยู่นั้น โดยไม่มีการพูดคุยสอบถาม จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อยู่บนเกาะโดยเฉพาะผู้ประกอบการซึ่งจะต้องเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันร้านจำหน่ายสินค้าก็จะพลอยขายไม่ได้ไปด้วยซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ ขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินของอุทยานแห่งชาติจำนวน 8 จุด ซึ่งล่าสุดกรมอุทยานได้มีคำสั่งให้มีการรื้อถอนพื้นที่ทั้งหมด โดยมีการปักป้ายเตือนไปแล้ว ซึ่งมีเจ้าของสามรายยินยอมให้หรือถอน ส่วนอีกห้ารายยังอยู่ระหว่างการฟ้องอุทธรณ์
โดยภายในวันศุกร์หน้ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะลงพื้นที่ไปกำกับดูแลการรื้อถอนและการดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุกพื้นที่อุทยานตามโฉนดหมายเลข 11
ด้านนายมุกตา บู่เอียด นายกสมาคมการค้าผู้ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ข้อพิพาทเรื่องที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะจนเป็นเหตุให้มีการตรวจสอบเอกสารที่ดินแปลงอื่นๆโดยบังคับใช้กฎหมายเต็มรูปแบบมาดำเนินการกับผู้ประกอบการนั้น เหตุดังกล่าวได้ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการโรงแรมจำนวน 111 แห่งร้านค้า 250 แห่งรวมจำนวนผู้ประกอบการและลูกจ้างกว่า 4,500 คน ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้และส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งเกาะหลีเป๊ะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สร้างชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ โดยในปีหนึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวเกาะหลีเป๊ะผ่านท่าเทียบเรือปากบารา อำเภอละงู ราว 140,000 คน มีทั้งคนไทยและต่างชาติสร้างรายได้ให้จังหวัดสตูลเกินกว่า 4 พันล้านบาทต่อปี เกาะหลีเป๊ะจึงเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เป็นแหล่งรายได้หลักให้แก่จังหวัดสตูล และประเทศไทย
พร้อมยืนยันว่า ผู้ประกอบการและชาวเลอุรักษ์ลาโว้ย อยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยมาเป็นเวลานานเกือบ 30 ปี ในช่วงเวลาที่วิถีชีวิตของชาวเลอุรักษ์ลาโว้ย เปลี่ยนไปผู้ประกอบการก็ยืนอยู่เคียงข้างไม่เคยเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของผู้อยู่อาศัยดั้งเดิม ทั้งการจ้างงาน การสร้างอาชีพให้กับเรือหางยาวท้องถิ่นทดแทนการหาปลาในเขตอุทยาน รวมถึงการแก้ปัญหาต่างๆบนเกาะหลีเป๊ะ เช่นเดียวกับปัญหาเกี่ยวกับถนนสาธารณะ ผู้ประกอบการได้จัดโครงการระดมทุนซื้อที่ดินตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างถนนบรรเทาทุกข์เปิดเส้นทางเข้าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพเกาะหลีเป๊ะ ที่มีทางเข้าออกลำบากและเส้นทางเข้าโรงเรียนสำหรับเด็กนักเรียนได้ใช้ทางลัดในการเข้าโรงเรียนบ้านเกาะหลีเป๊ะทดแทนเดินอ้อมเข้าทางบริเวณด้านหน้าหาด โดยโครงการนี้สมาคมได้ขอความเห็นชอบกับหลายฝ่าย ทั้งโรงเรียนบ้านเกาะหลีเป๊ะผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งสมาคมได้จัดทำโครงการนี้ก่อนเกิดข้อพิพาท
ซึ่งต้องการจะแสดงเจตนารมณ์ที่จะช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับชาวเลออุรักลาโว้ยมาโดยตลอด นอกจากนี้ที่ผ่านมาสมาคมยังได้ช่วยเหลือชาวบ้านในสถานการณ์โควิด 19 ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ได้ระดมทุนตั้งศูนย์ช่วยเหลือดูแลผู้ได้รับผลกระทบระดมของบริจาค ทั้งถุงยังชีพยารักษาโรค เครื่องผลิตออกซิเจน รวมถึงเครื่องช่วยหายใจผู้ป่วยวิกฤต
ผู้ประกอบการไม่เคยนิ่งนอนใจต่อปัญหาเอกสารสิทธิ์ ยินดีให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเอกสารซึ่งผู้ประกอบการนั้น แท้จริงแล้วเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเอกสารสิทธิ์ที่มีความไม่ชัดเจนมาช้านานโดยหน่วยงานของรัฐได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ เช่นคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 6/2562 เรื่องมาตรการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานการประกอบธุรกิจโรงแรมบางประเภทโดยรัฐมีนโยบายส่งเสริมการประกอบอาชีพสุจริตของชุมชน เพื่อให้เศรษฐกิจมีความคล่องตัวเกิดการกระจายรายได้สร้างงาน ขณะเดียวกันก็ลดความขัดแย้งในชุมชน และจัดให้กิจการที่อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบให้ถูกต้องตามกฎหมาย
มีการบริหารจัดการที่ดี และมีการตรวจสอบควบคุมโดยรัฐซึ่งโอกาสนี้ให้ทางภาครัฐผ่อนผันการใช้มาตรการเข้มงวดทางกฎหมายที่จะนำมาใช้กับผู้ประกอบการบนเกาะหลีเป๊ะ เพื่อรับผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและรายได้ของผู้ประกอบการ โดยขอให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วยผลักดันนำร่างพระราชบัญญัติการปรับปรุงแก้ไขหรือยกเลิกกฎกระทรวงฉบับที่ 35 พุทธศักราช 2535 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพุทธศักราช 2522 การกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้างอาคารบางชนิดหรือบางประเภทบริเวณเกาะหลีเป๊ะ และที่มีพื้นที่ทับซ้อนกับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม นำร่างฉบับนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและชาวเลอุรักษ์ลาโว้ย ที่อาศัยอยู่บนเกาะหลีเป๊ะร่วมกันมายาวนานกว่า 30 ปี ให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกต้อง
พร้อมแสดงเจตจำนงบริสุทธิ์ ว่าผู้ประกอบการมิใช่คู่ขัดแย้งกับชาวเลเกาะหลีเป๊ะ และหน่วยงานราชการ แต่เป็นประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากข้อกฎหมาย ที่ผ่านการดำเนินการจากหน่วยงานราชการมาหลายช่วงเวลา จึงขอความเห็นใจมายัง พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ชะลอการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดกับผู้ประกอบการ ให้โอกาสผู้ประกอบการได้ดำเนินการให้ธุรกิจเข้าไปอยู่ในระบบอย่างถูกต้อง โดยขอผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เพื่อลดความขัดแย้งในชุมชนภาครัฐ สามารถเข้ามาควบคุมและตรวจสอบได้นักท่องเที่ยวได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ และเป็นธรรมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อประเทศไทยด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดจนลดความขัดแย้งในสังคมไทย