จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยเฉพาะคดีพิเศษที่ 24/2568 การสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำความผิดฐานอั้งยี่ฯ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ซึ่งเป็นความคืบหน้าของการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.68 จนถึงปัจจุบัน จากข้อมูลการสืบสวนการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ พบว่ามีผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาเกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด รวมทั้งพบร่องรอยทางการเงินมีความเชื่อมโยงกัน จึงเป็นเหตุให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ออกหมายเรียกอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 1,200 รายนั้น
เมื่อวันที่ 7 ก.ย.68 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีตรวจสอบขบวน ๆๆการอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุด ว่า ภายหลังจากที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจาก 10 กองคดี ประกอบด้วย กองคดีทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กองคดีความมั่นคง กองคดีภาษีอากร กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กองคดีทรัพย์สินทางปัญญา กองคดีค้ามนุษย์ และกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบได้ร่วมกันดำเนินการสอบสวนปากคำพยานทั้ง 1,200 รายนั้น
ทั้งนี้ พบว่ามีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่ามีขบวน การการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ไปสมัครวุฒิสภา (สว.) โดยไม่ลงคะแนนให้ตัวเอง แต่เพื่อไปเลือกลงคะแนนให้บุคคลอื่นที่จัดตั้งขึ้นหรือเรียกว่าโหวตเตอร์พลีชีพ
ก่อนหน้านี้ คณะพนักงานสอบสวนได้มีการออกหมายเรียกพยานไปแล้ว 72 ราย แต่มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพียง 18 ราย อาทิ พยาน 2 รายจาก จ.นครราชสีมา, พยาน 5 รายจาก จ.อุบลราชธานี และพยาน 11 รายจาก จ.อำนาจเจริญ ทั้งนี้จากการสอบสวนปากคำนั้น ภาพรวมพยานไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดี เช่น ให้การว่าตัวเองไม่เกี่ยว ข้อง ไม่ได้รู้เห็นกับขบวนการ ไม่รู้เห็นเรื่องเส้นทางการเงิน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีพยานบางส่วนจากพื้นที่จังหวัดหนึ่ง ได้ให้การที่เป็นประโยชน์อย่างมาก โดยรับสารภาพว่าตนรับเงินจากคณะบุคคลเพื่อมาลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) แต่กำหนดหน้าที่เพียงแค่ให้ลงสมัครเพื่อเข้าไปโหวตคนอื่นให้เข้ารอบเท่านั้น
ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวน เผยอีกว่าหากมองเฉพาะในส่วนของพยานในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ที่มีการออกหมายเรียกไป 24 รายก่อนหน้านี้ ล่าสุดก็ยังไม่มีใครเข้ามาพบพนักงานสอบสวน ซึ่งพนัก งานสอบสวนมองว่าพยานอาจติดขัดเรื่องธุระใดๆ เราก็ไม่ไปเร่งรัดกดดัน แต่จะต้องมีการลงพื้นที่ไปพบพยานอีกครั้ง รวมถึงพยานในพื้นที่จังหวัดอื่นด้วยที่ยังขอเลื่อนไม่เข้าพบพนักงานสอบสวน ก็ต้องลงพื้นที่ซ้ำอีกครั้ง ซึ่งในกรณีการออกหมายเรียกพยาน หากมีหมายเรียกพยานครั้งที่ 2 รวมถึงมีพฤติการณ์ไม่ให้ความร่วมมือ ขัดหมายเรียกพยาน พนักงานสอบสวนจะประมวลรายละเอียดทั้งหมด เนื่องจากพยานแต่ละรายอาจมีข้อจำเป็นที่แตกต่างกัน พยานแต่ละจังหวัดก็ไม่เหมือนกัน เพื่อจะได้พิจารณาแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ เพื่อให้ตำรวจดำเนินคดีในส่วนของการขัดหมายเรียกพยานต่อไป แต่ยืนยันว่าในตอนนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังไม่มีการแจ้งความขัดหมายเรียกกับพยานรายใด ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภายในเดือน ก.ย. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะสามารถทยอยสอบสวนปากคำพยาน 1,200 ราย ทั้ง 45 จังหวัดเสร็จสิ้น
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ปิดท้ายว่า แม้ว่าการเมืองจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร และมีการพุ่งเป้าถึงสำนวนคดีอั้งยี่ ฟอกเงิน สว. ของดีเอสไอว่าจะเป็นอย่างไรนั้น คณะพนักงานสอบสวนไม่ถือเป็นข้อหนักใจ ก็ต้องดำเนินการตามพยานหลักฐาน เพราะเราทำตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนเรื่องคดีฮั้ว สว. ตามกฎหมายการเลือกตั้งที่ก่อนหน้านี้ดำเนินการโดยคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ได้มีการส่งไปถึงชั้นที่ 2 (รับผิดชอบโดยรองเลขาธิการ กกต.ที่ได้รับมอบหมาย) ส่วนนี้ก็เป็นพยานหลักฐานคู่ขนานกับคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ของดีเอสไอ ดังนั้น หากส่วนของ กกต. มีความชัดเจนในกลุ่มของผู้กระทำความผิด ก็เป็นเหมือนน้ำหนักค้ำยันพยานหลักฐานระหว่างสำนวนคดีอาญาได้ด้วย ซึ่งสำนวนคดีอั้งยี่-ฟอกเงินของดีเอสไอ หากพบหลักฐานผู้กระทำความผิด ดีเอสไอก็สามารถทยอยส่งฟ้องแต่ละล็อตไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษก่อนได้ หรืออาจรวมเป็นสำนวนกลุ่มใหญ่ภาพรวมก็ได้ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ