การเจรจาหยุดยิงไทย–กัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ วันที่ 28 ก.ค. 2568 ไทยดูเหมือนได้เปรียบในเชิงหลักฐานและศักยภาพ แต่จะเดินเกมอย่างไรไม่ให้เสียท่าในระยะยาว?

การปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ไม่ได้จบลงแค่เสียงปืน หากแต่นำไปสู่การเปิดเวทีเจรจาหยุดยิงสำคัญ ณ ประเทศมาเลเซีย ภายใต้แรงกดดันจากทั้งอาเซียนและชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน

แต่คำถามใหญ่ในขณะนี้คือ “หยุดยิงจริงหรือ? หรือไทยจะเสียท่าในเกมการทูต?”

แม้ไทยจะมีข้อมูลและศักยภาพเหนือกว่า แต่บนโต๊ะเจรจาที่เต็มไปด้วยช่องว่างทางการเมือง การทหาร และกฎหมายระหว่างประเทศ ไทยอาจพลาดพลั้งได้ หากเดินเกมไม่รัดกุม

ภาพรวมเจรจา: ด่านแรกของศึกใหม่

โต๊ะเจรจาที่กัวลาลัมเปอร์มีผู้นำระดับสูงของทั้งสองประเทศเข้าร่วม ประกอบด้วย:

ฝ่ายไทย: นายภูมิธรรม เวชยชัย (รักษาการนายกรัฐมนตรี), นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ), พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ (เลขาธิการ ศบ.ทก.)

ฝ่ายกัมพูชา: นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี

ผู้ไกล่เกลี่ย/สังเกตการณ์: มาเลเซีย: นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรี สหรัฐฯ: ตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ  และจีน : ส่งตัวแทนเข้าร่วม แต่ไม่เปิดเผยชื่อ

ทั้งสามประเทศนอกวงมีบทบาทสำคัญในการประคองเจรจาไม่ให้ล้ม ขณะเดียวกันก็มี “ผลประโยชน์ซ่อนอยู่ในฉากหลัง” ที่ไทยต้องระวังให้มาก

ไทยดูเหนือกว่า แต่ต้องไม่ประมาท

1. หลักฐานมัดแน่น จากเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบระเบิด PMN-2 ที่ช่องบก และการโจมตีพลเรือนโดยไม่เลือกเป้าหมาย ไทยมีหลักฐานทั้งภาพถ่าย ดาวเทียม และรายงานทางการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มปฏิบัติการก่อน ทำให้ไทยถือ “ไพ่เหนือ” บนโต๊ะเจรจา

2. การป้องกันตัวอย่างชอบธรรม ไทยยึดหลักปฏิบัติตามกรอบกฎหมายสากล ไม่รุกล้ำเขตแดน ไม่ใช้อาวุธในเชิงรุกราน แต่ปกป้องอธิปไตยตามหน้าที่ ทำให้ไทยมีความชอบธรรมอย่างสมบูรณ์

3. ได้เสียงสนับสนุนจากภายในประเทศ เสียงสังคมไทยชัดเจนว่า “ไม่ยอมเสียดินแดนแม้ตารางนิ้วเดียว”

รัฐบาลจึงมีแรงสนับสนุนทางการเมืองสูงในช่วงนี้ ซึ่งช่วยให้เดินเกมการทูตได้อย่างมั่นคงมากกว่าที่คิด

แต่…ถ้าไม่ระวัง ไทยก็มีโอกาส “เสียท่า”

1. ความเสี่ยงจากการยอมแลกเพื่อหยุดรบ แม้การหยุดยิงคือเป้าหมายสูงสุด แต่หากหยุดรบแล้วกลับไปสู่สถานการณ์เดิม โดยไม่วางกลไกป้องกันใหม่ ไทยอาจสูญเสียความได้เปรียบไปอย่างน่าเสียดาย

2. ช่องว่างในประเด็นพรมแดน การเจรจาอาจถูกลากไปสู่ “ข้อพิพาททางพรมแดน” ซึ่งมีความซับซ้อนสูง หากไม่มีการเตรียมข้อมูล แผนที่ และหลักฐานเชิงประวัติศาสตร์อย่างครบถ้วน ไทยอาจถูกกดดันให้ถอย แม้จะถือไพ่เหนือ

3. มหาอำนาจอาจใช้โต๊ะนี้เป็นเวทีต่อรอง ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างมีผลประโยชน์ในภูมิภาค

หากไทยไม่ระมัดระวัง โต๊ะเจรจานี้อาจกลายเป็นเวที “แบ่งเขตอิทธิพล” มากกว่าจะหยุดสงครามอย่างยั่งยืน

กลยุทธ์ที่ไทยควรเดินเกมไม่ให้เสียท่า

1. ยืนหลัก “ไม่เสียอธิปไตย ไม่เสียศักดิ์ศรี” ทุกข้อเสนอในโต๊ะเจรจาต้องตั้งอยู่บนหลักว่า

“หยุดรบได้ แต่ไม่แลกด้วยการยอมถอยเรื่องพรมแดน” รัฐบาลไทยต้องสื่อสารชัดเจนว่านี่คือการรักษาความสงบ ไม่ใช่การต่อรองแผ่นดิน

2. ใช้ “อาเซียน” เป็นกลไก ไม่ใช่ “มหาอำนาจ” ควรให้มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนมีบทบาทหลักในการเจรจาต่อไป เพื่อลดน้ำหนักการตัดสินใจของสหรัฐฯ และจีน ไม่ให้โต๊ะเจรจาถูกใช้เป็นหมากของเกมภูมิรัฐศาสตร์

3. เสนอ “กลไกถาวร” มากกว่าข้อตกลงชั่วคราว หยุดยิงเฉพาะหน้าอาจเป็นแค่การระงับไฟชั่วคราว

แต่ไทยควรผลักดันการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนถาวร, กลไกสังเกตการณ์ร่วม หรือแม้แต่การนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ

โต๊ะเจรจานี้ไทยอาจได้เปรียบ…แต่จะ “ชนะ” ต้องใช้สติ

การหยุดยิงอาจเกิดขึ้นในวันนี้หรือวันหน้า

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ไทยจะสามารถรักษาอธิปไตย ความมั่นคง และหลักการระหว่างประเทศไว้ได้หรือไม่

เพราะหากไทยรีบเกินไป ยอมถอยเพื่อ “ภาพลักษณ์สันติภาพ” โดยไม่วางแผนรองรับระยะยาว

สิ่งที่อาจได้คือแค่ความเงียบชั่วคราว แลกกับช่องว่างใหม่ให้ปัญหาเดิมกลับมาหนักกว่าเดิม

 โต๊ะนี้ ไทยต้องเดินเกมด้วย “ความนิ่งที่แข็งแกร่ง”

ไม่ใช่แค่หยุดยิง...แต่ต้องหยุดเกมเสียท่า!

 

#เจรจาไทยกัมพูชา #สงครามการทูต #ภูมิธรรมเวชยชัย #ฮุนมาเนต #ไทยกัมพูชา #cambodiaopenedfirefirst #ปราสาทตาเมือนธม #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชายิงก่อน #กองทัพอากาศ #กองทัพบก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด