วันที่ 27 ก.ค.68 พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานความมั่นคงชายแดน (สน.ปร.มน.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ความชอบธรรมของไทยในการปฏิบัติการทางลึก ความชอบธรรมนี้เกิดจาก สิทธิ์ในการป้องกันตัวเองยุคใหม่ ทุกประเทศไม่จำเป็นต้องถูกโจมตีก่อนถึงจะมีสิทธิ์ปกป้องตัวเอง
สิทธิในการป้องกันตนเองในโลกยุคใหม่:
เมื่อ Article 51 ของ UN Charter กล่าวว่า “ ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในสิทธิโดยธรรมชาติในการป้องกันตนเอง ไม่ว่าจะเป็นรายบุคคลหรือโดยรวม หากมีการโจมตีด้วยกำลังอาวุธเกิดขึ้นกับสมาชิกของสหประชาชาติ..."
ปัจจุบันการคุกคามไม่ได้มีแค่เรื่องพรมแดนเท่านั้นแต่ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวล้ำอย่างรวดเร็ว ระบบอาวุธที่พัฒนาไปมาก แนวคิดเรื่อง "การป้องกันตนเอง" ของประเทศต่างๆ กำลังถูกท้าทายและตีความใหม่ใน Article 51
เดิมที การวางกำลังทหารประชิดชายแดนถือเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนและเป็นเหตุผลอันสมควรในการเตรียมพร้อมป้องกันตนเอง แต่ในปัจจุบัน ภัยคุกคามไม่ได้จำกัดอยู่แค่การบุกรุกทางกายภาพอีกต่อไป และที่สำคัญคือ ประเทศไม่จำเป็นต้องถูกโจมตีก่อนถึงจะมีสิทธิ์ในการปกป้องตัวเอง หากภัยคุกคามนั้น ชัดเจนและใกล้จะเกิดขึ้นจริง (imminent threat)
* ภัยคุกคามทางไซเบอร์: การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบการเงิน หรือโรงพยาบาล อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงไม่ต่างจากการโจมตีทางทหาร และนี่คือภัยที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยไม่มีการวางกำลังพล
* การแทรกแซงข้อมูลข่าวสาร: การเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนอย่างรุนแรง (Disinformation) ที่มุ่งเป้าทำลายความมั่นคงภายใน หรือปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกในสังคม ก็อาจถือเป็นการบ่อนทำลายอธิปไตย
* เทคโนโลยีด้านอวกาศและระบบอาวุธ: การรุกล้ำน่านฟ้าด้วยโดรน หรือการก่อกวนระบบดาวเทียม อาวุธระยะไกล อาจเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงเจตนาที่เป็นปรปักษ์ได้ก่อนที่จะมีการโจมตีเต็มรูปแบบ
*ดังนั้น การแสดงกำลัง ด้วย อาวุธจรวจ PHL03 จึงจัดอยู่ใน ภัยคุกคามชัดเจนและใกล้จะเกิดขึ้นจริง (imminent threat) ช่วยเสริมความเข้าใจว่าการป้องกันตัวเองไม่จำเป็นต้องรอให้ถูกโจมตีจริงเสมอไปและสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที ครับ
ขอบคุณ เฟซบุ๊ก Wanchana Sawasdee