ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา: จากปี 2554 ถึงสถานการณ์เดือดปี 2568 ใครได้เปรียบหากรบเต็มรูปแบบ?

ย้อนรอยปี 2554: ไฟชายแดนลุกโชน

ปี 2554 คือจุดเดือดสูงสุดของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในรอบหลายสิบปี รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากกระแสชาตินิยมในประเทศ และเลือกเดินเกมแข็งกร้าวตอบโต้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งลุกลามจากประเด็นกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ไฟชายแดนครั้งนั้นกลายเป็นสมรภูมิเดือดที่สั่นสะเทือนทั้งสองประเทศ

เหตุการณ์เดือดปี 2554

• ม.ค. 2554: กลุ่มคนไทย 7 คนถูกจับกุม ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดฉับพลัน
• 4-7 ก.พ. 2554: ปะทะต่อเนื่อง 4 วัน ใช้อาวุธหนักใกล้ปราสาทพระวิหาร-ภูมะเขือ มีทั้งทหารและประชาชนเสียชีวิต บ้านเรือนพังเสียหาย
• เม.ย. 2554: ปะทะดุเดือดอีกครั้งที่ปราสาทตาเมือนและตาควาย ยืดเยื้อหลายวัน
• 28 เม.ย. 2554: กัมพูชายื่นเรื่องต่อศาลโลก (ICJ)
• 18 ก.ค. 2554: ศาลโลกสั่งให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาท

2568 : ไฟเก่าปะทุหนักกว่าเดิม

24 กรกฎาคม 2568 ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชากลับมาร้อนแรงอีกครั้ง และครั้งนี้อาจเดือดยิ่งกว่าเดิม จุดปะทะหลักอยู่ที่ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ และลุกลามถึงปราสาทพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ

• กัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน – รายงานข่าวชี้ชัดว่ากัมพูชารุกล้ำและเปิดฉากยิงใส่ทหารไทย
• กับระเบิดใหม่ – ทหารไทย 2 นายบาดเจ็บ หนึ่งนายขาขาด ฝ่ายไทยกล่าวหากัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดใหม่
• ไทยตอบโต้ทันควัน – อนุมัติใช้ปืนใหญ่ตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย
• ศึกการทูตเดือด – ไทยส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ ขณะที่กัมพูชาลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลงต่ำสุด
• ปิดจุดผ่านแดน – ช่องบก ช่องจอม ตาเมือนธม และตาควายถูกปิดทันทีเพื่อควบคุมสถานการณ์

BM21 ถล่มสุรินทร์-ศรีสะเกษ จุดแตกหักใหม่

รายงานล่าสุดระบุว่า ทหารกัมพูชาได้ยิงจรวด BM21 ลงที่บ้านโจรก หมู่ 2 ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้ชาวบ้านเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 3 ราย รวมถึงเด็กชาย นอกจากนี้ที่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ จังหวัดศรีสะเกษ มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก รวมทั้งเด็กๆ เหตุการณ์นี้สร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อรัฐบาลไทยให้ต้องตอบโต้เพื่อปกป้องชีวิตประชาชน

ไทยอ้างสิทธิ์ป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

กองทัพบกไทยยืนยันว่าการใช้กำลังในครั้งนี้อยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 51 ซึ่งระบุว่าประเทศสมาชิกสามารถใช้กำลังป้องกันตัวเองได้หากถูกโจมตีด้วยอาวุธก่อน โดยกระทรวงการต่างประเทศจะรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ทันที กองทัพไทยย้ำว่าเป้าหมายการโจมตีจะจำกัดเฉพาะวัตถุประสงค์ทางทหาร (military objective) และจะระมัดระวังไม่โจมตีทำลายทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เช่น ปราสาทโบราณ ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

แนวโน้มสถานการณ์: สงครามเต็มรูปแบบใกล้แค่เอื้อม?

1. ความเสี่ยงสูงต่อการปะทุรุนแรงขึ้น – การรุกล้ำซ้ำซากและการใช้จรวด BM21 ถล่มพื้นที่พลเรือน ทำให้ไทยอาจเพิ่มมาตรการตอบโต้ทางทหาร หากเกิดเหตุสูญเสียหนัก ไทยอาจถูกบีบให้ขยับเกมรบจริงจัง
2. ปัจจัยชี้ชะตาการเจรจา – แม้อาเซียนหรือศาลโลกอาจพยายามกดดันเหมือนปี 2554 แต่สถานการณ์ภายในไทยและกัมพูชาอาจทำให้การเจรจายืดเยื้อหรือไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น

หากรบเต็มรูปแบบ: ไทย-กัมพูชาใครได้เปรียบ?

ข้อได้เปรียบของไทย:
• ศักยภาพทางทหารเหนือกว่า โดยเฉพาะกำลังทางอากาศและปืนใหญ่ระยะไกล
• ระบบลำเลียงและโลจิสติกส์ดีกว่า เพราะพื้นที่รบใกล้เขตชุมชนไทย
• ได้แรงสนับสนุนจากประชาคมโลก หากถูกมองว่าเป็นฝ่ายป้องกัน

ข้อเสียเปรียบของไทย:
• พื้นที่รบเป็นเขตภูเขาและป่าแน่น ลดประสิทธิภาพอาวุธหนัก
• แรงกดดันทางการเมือง รัฐบาลเสียงกึ่งน้ำอาจไม่กล้าเดินเกมรบยืดเยื้อ

ข้อได้เปรียบของกัมพูชา:
• ยึดพื้นที่ได้ก่อน ตั้งฐานและวางกับระเบิดล่วงหน้า
• ความสัมพันธ์กับบางประเทศ เช่น จีน

ข้อเสียเปรียบของกัมพูชา:
• ศักยภาพทางทหารด้อยกว่า
• ระบบลำเลียงยากลำบาก
• เสี่ยงถูกกดดันจากนานาชาติหากถูกมองว่าเป็นฝ่ายรุกราน

สรุป: ไฟชายแดนครั้งนี้อาจลุกลามใหญ่กว่าทุกครั้ง

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาปี 2568 มีแนวโน้มยืดเยื้อและอาจบานปลายเป็นสงครามจำกัด แม้ไทยจะได้เปรียบด้านศักยภาพทางทหาร แต่แรงกดดันทางการเมืองอาจเป็นจุดอ่อนสำคัญ ขณะที่กัมพูชาแม้ด้อยกว่าในสนามรบ แต่ได้เปรียบจากการตั้งฐานและใช้สงครามจิตวิทยา หากไม่มีการควบคุมไฟชายแดนครั้งนี้ ไทย-กัมพูชาอาจถูกลากเข้าสู่สงครามครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี

 

 

#ชายแดนไทยกัมพูชา #BM21 #ศึกปราสาทพระวิหาร #ศึกตาเมือนธม #ทหารไทย #กองทัพกัมพูชา #สงครามชายแดน2568