“เดอะแบก” นิทรรศการงานศิลปะบำบัด DPU ที่ชวนคุณปลดล็อก "ภาระใจ" สู่การเป็น "Hero" ในฉบับคุณ
เพราะชีวิตไม่ใช่เรื่องความสมบูรณ์แบบ 100% แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะโอบรับทั้งความสำเร็จอันสวยสด พร้อมๆ กับโมงยามแห่งความผิดพลาดที่บีบคั้นหัวใจ “เดอะแบก” ศิลปะบำบัดผลงานนักศึกษาศิลปกรรมฯ DPU ที่จำลองเส้นทางการปลดเปลื้องภาระเหล่านั้น ให้ผู้คนได้ “เปิดซิปหัวใจ” มองสิ่งที่ถืออยู่ตรงหน้าอย่างมีสติ เพื่อให้แต่ละคนได้เลือกว่าจะวาง หรือจะต่อยอดสู่การมี "สุขภาวะ” ที่ฮีโร่ควรมี โดยไม่รู้สึกผิด แม้ในวันที่ใจไม่สมบูรณ์
ในโลกปัจจุบันที่ทุกสิ่งเร่งรีบ เราต่างกลายเป็น “เดอะแบก” โดยไม่รู้ตัว เพราะมันไม่เคยหนักทีเดียวตั้งแต่แรก และมักเริ่มจากคำพูดเล็กๆ ที่ฟังแล้วอยากทำให้ได้ จากความรักที่อยากตอบแทน จนกลายเป็นภาระเงียบๆ บนบ่าที่พกติดตัวไปทุกที่ ไม่รู้จะวางเมื่อไร และไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ถ้าวางลงเราจะผิดหรือมีสิทธิ์จะวางได้หรือเปล่า?
นั่นคือเหตุผลที่ “นัท–ณัฐธยาน์ บวรโชติถวัลย์” นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการออกแบบเชิงสร้างสรรค์ เอกการออกแบบกราฟิก มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เลือกนำสิ่งที่เคยแบกไว้ในใจจนเกือบล้ม มาถักทอเป็นนิทรรศการเพื่อให้ทุกคนสัมผัส "เห็นสิ่งที่แบกไว้ชัดขึ้น" ผ่านกระเป๋าเป้จำลองที่ไม่ได้มีไว้เพื่อแบกภาระเท่านั้น แต่อาจมีไว้เพื่อแบกความสุขกลับไปด้วย
จุดเริ่มของภาระเราต่างก็เป็นเดอะแบก
“ตัวหนูก็เป็นเดอะแบกคนนึงค่ะ” ณัฐธยาน์เอ่ยขึ้นเรียบๆ ปลายเสียงของเธอไม่หนักแน่น แต่ก็ไม่สั่นไหว ฟังแล้วรู้สึกได้ว่า เธอ ‘เข้าใจ’ ในเรื่องที่เล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเติบโตจากครอบครัวที่ความคาดหวังสูงลิ่วและในฐานะลูกคนเดียว
เด็ก Generation Z (คนรุ่น Z) อย่างเธอ ที่ยังเรียนอยู่จึงต้องโตก่อนวัย ทำงานหาเงินช่วยที่บ้านตั้งแต่ยังเล็ก เพราะสภาพคล่องทางการเงินไม่ดีนัก ความคาดหวังจากครอบครัวจึงกลายเป็นแรงกดดันที่เธอแบกรับไว้เงียบๆ
“ตอนเป็นลูกคนเดียว ความคาดหวังก็มีประมาณหนึ่งแหละ สิ่งที่หนูต้องทำให้ได้คือ ต้องเรียนให้ดี ดีที่แปลว่าต้องดีที่สุด หนูเคยได้เกรด 3.8 ฝังใจหนูสุดๆ เพราะโดนไล่ให้ไปเลี้ยงควาย หนูต้องเรียนให้ได้ 4.00 ต้องเป็นที่ 1 ต้องเก่งที่สุดอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างถูกกดดันมาตั้งแต่ตอนนั้น”
เมื่อเธอกลายเป็นพี่คนโตของบ้าน ภาระที่เคยแบกไว้ก็ไม่ได้หายไป และเป็นการผลักภาระต่อไปจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งเท่านั้น
“พอโตหนูกำลังเข้าสู่วัยที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย มีเงินเก็บส่วนตัว แต่คนที่บ้านเราบางทีเขาอาจจะสภาพคล่องไม่ดี เงินหมุนไม่ทัน มาขอ มาหยิบยืม แต่ไม่เคยคืนเราหรอก”
สุดท้ายเมื่อเงินเก็บก้อนสุดท้ายหายไป จึงเข้าใจว่าไม่ใช่การหยุดรักหรือหยุดช่วยเหลือ แต่ต้องรู้จักสร้างลิมิตให้ตัวเอง เพราะหากเธอล้มลง คนที่เธอแบกอยู่ก็อาจล้มตามไปด้วย
“เรากลายเป็นอีกหนึ่งคนที่ล้ม เราอยากซัพพอร์ต อยากช่วยเหลือ แต่สุดท้ายเขายืมเราจนหมด หมดที่แปลว่าเราต้องไปยืมคนอื่น และมันกลายเป็นปัญหา สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเราไปเป็นภาระของคนอื่น”
ไม่ต้องรีบวาง ถ้ายังไม่ไหว
จากบทเรียนที่แบกไว้ในใจ ณัฐธยาน์เปลี่ยนสิ่งนั้นให้กลายเป็นศิลปนิพนธ์ชื่อ LIGHTEN THE LOAD “แบ่งเบาบนบ่าแบก” ซึ่งจัดแสดงเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมโชว์ผลงานของนักศึกษาภาคพิเศษ เสาร์–อาทิตย์ รุ่นที่ 4 ณ DPU Makerspace เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 ภายใต้ธีม “404 Error” ที่สื่อสารว่า ‘ข้อผิดพลาดไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียใหม่ๆ’ โดยนิทรรศการนี้เปรียบเสมือนการนำช่วงชีวิตที่เคยผิดพลาดของเธอเอง มาถักทอขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้คนได้มองเห็นสิ่งที่แบกไว้อย่างชัดเจน โดยผู้เข้าชมจะได้รับ “กระเป๋าเป้พร้อมก้อนภาระจำลอง” และ “พาสปอร์ตนิทรรศการ” เพื่อใช้เดินทางผ่านเส้นทางความรู้สึกทั้ง 4 โซน
"นิทรรศการมีหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะนิทรรศการเชิงประสบการณ์ ซึ่งหนูได้ไปเก็บข้อมูลมาหลายที่ ทั้งในห้างและแกลเลอรีอย่างที่ RIVER CITY ทำให้หนูได้สัมผัสบรรยากาศที่สมจริง และเห็นว่าแต่ละดีไซน์ แต่ละงานมีความแตกต่างกัน แม้จะสื่อสารเรื่องราวคล้ายกัน แต่ผลกระทบที่ได้รับไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ทำให้หนูตระหนักว่า การมีประสบการณ์ร่วมจะช่วยให้เราจดจำหลักการยากๆ และนำไปใช้ได้ง่ายกว่าการอ่าน เหมือนกับการที่เราได้ลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วเห็นผลลัพธ์ด้วยตัวเอง"
นิทรรศการยังไม่ได้จำกัดแค่เพศ วัย หรือประสบการณ์ชีวิต เพราะเมื่อณัฐธยาน์ได้พูดคุยและศึกษาความหลากหลายของ ‘ภาระ’ ที่แต่ละคนต้องรับไว้ เธอพบว่า “เราทุกคนล้วนเป็นเดอะแบก” แตกต่างกันตรงที่ของบางอย่างที่กำลังแบกอยู่นั้นอาจมีชื่อเรียกที่ไม่เหมือนกันในแต่ละช่วงชีวิต เช่น วัยเด็กแบกความคาดหวัง วัยทำงานแบกเรื่องเงิน หรือผู้บริหารแบกลูกน้องและภาระงาน
เห็น–แยก–วาง–ฟัง
ก่อนจะวางได้ ต้องรู้เสียก่อนว่ากำลังแบกอะไรอยู่
โซนที่ 1: เปิดตา จึงเป็นจุดแรกที่ใจจะได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรากำลังแบกอะไรอยู่ และสิ่งที่แบกนั้นหนักแค่ไหน? หรืออาจมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยพูดออกมาเลย และไม่กล้าแม้จะบอกคนอื่น เพื่อชวนให้ผู้เข้าชมค่อยๆ เปิดใจ ผ่านคำถามปลายเปิดที่ไม่ต้องตอบกับใคร เพียงแค่ตอบกับตัวเองให้ชัดเจนขึ้น
โดยคำถามจะถูกติดตั้งไว้หน้ากระจก ที่สะท้อนทั้งรูปร่างและความคิด เช่น “ถ้าฉันไม่ทำแล้วใครจะทำ?” หรือ “ถ้าไม่เพอร์เฟกต์ก็อย่าทำ” เป็นชุดคำถามสไตล์ Coaching ที่คิดขึ้นจากการศึกษาของนักจิตบำบัด โดยคำถามที่กระทบใจมากที่สุดคือ “จำได้ไหม...คุณเคยเป็นใครก่อนที่โลกจะบอกให้คุณเป็นคนเก่ง?” และสำหรับหลายคน คำถามนี้คือจุดที่น้ำตาริน
โซนที่ 2: เปิดเป้ หลังจากได้เห็นแล้วว่า เรากำลังแบกอะไรไว้ในใจ โซนนี้จะเปิดพื้นที่ให้เรากล้าลองวาง เพื่อดูให้ชัดว่า เราจะวางไว้ หรือจะถือต่อไป ผู้ชมจะได้แยกแยะว่าภาระใดจำเป็น และภาระใดอาจไม่จำเป็นต้องแบกอีกต่อไป ผ่านกิจกรรมบนบอร์ดที่เปิดให้เขียนระบายสิ่งที่ถือไว้ในใจ แล้วแปะลงเคียงกับภาระของคนอื่นๆ เพื่อให้เริ่มเข้าใจว่า บางสิ่งที่หนักสำหรับเรา อาจไม่หนักสำหรับคนอื่น และบางสิ่งที่คนอื่นแบก เราอาจไม่ต้องรับมาเลยก็ได้
สำหรับภาระที่จัดแสดงคือ สิ่งที่คนทั่วไปต้องเผชิญ เช่นเรื่องงาน ครอบครัว หรืออนาคต พร้อมพร็อพเสริมที่ชวนตั้งคำถาม อาทิ ตัวตุ๊กตาแหวน ซึ่งสื่อถึงคำถามที่คน Gen Y มักเจอเสมอคือ เมื่อไหร่จะแต่งงาน? ซึ่งไม่ใช่แค่คำถามในวงสนทนา แต่เป็นภาระของความคาดหวังที่หลายคนแบกไว้ในใจ โดยไม่รู้ตัว
โซนที่ 3: ปลดเปลื้อง บางสิ่งอาจยังวางไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะสักวันหนึ่ง เราจะวางมันได้เอง แนวคิดของโซนนี้ตั้งอยู่บนกรอบเวลาของชีวิต ที่บอกว่า “เราไม่มีเวลามากอย่างที่คิด” ไม่ว่าเราจะถืออะไรไว้มากแค่ไหน วันหนึ่งธรรมชาติก็จะบังคับให้เราวางอยู่ดี การยอมรับข้อนี้จะช่วยให้ผู้เข้าชม ‘คลิก’ กับการปล่อยวางสิ่งที่จำเป็นได้เร็วขึ้น เพราะเข้าใจว่า การยึดไว้อาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืน
ใจกลางโซนคือกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่ ที่เปิดไว้ให้ทุกคนได้ทิ้งภาระที่คิดว่าหนักที่สุดหรือจำเป็นที่สุดลงไป บางคนเลือกวาง บางคนยังถือไว้ ซึ่งณัฐธยาน์บอกว่า เธอไม่บังคับ เพราะการปล่อยวางไม่ใช่เรื่องเร่งรีบ “บางคนยังทิ้งไม่ได้ในวัยเท่านี้ ไม่เป็นไรเลย เพราะสักวันหนึ่งเขาจะทิ้งได้เอง”
โซนที่ 4: ปล่อยจอย พื้นที่เงียบที่สุด แต่เสียงของความเข้าใจดังที่สุด ไม่มีคำถาม ไม่มีคำบรรยาย โซนนี้มีเพียงกำแพงที่เต็มไปด้วยโน้ตจากผู้ชมคนก่อน เป็นข้อความสั้นๆ ที่ส่งต่อกำลังใจจากคนที่แบกเหมือนกัน ‘จากใจเดอะแบกถึงใจเดอะแบก’ ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แต่ทุกคำพูดมีน้ำหนักของความรู้สึกที่คนผ่านมาทิ้งไว้ให้
ณัฐธยาน์ เล่าว่าโซนนี้เงียบที่สุด แต่พลังของมันแรงที่สุด เพราะข้อความเหล่านี้สรุปข้อคิดจากหนังสือเชิงจิตวิทยาที่เธอเคยอ่าน เป็นการให้กำลังใจเชิงบวก เช่น การเห็นตัวเองสำคัญ หรือการโฟกัสความสุขของตนเอง เพื่อให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสและซึมซับพลังบางอย่าง ก่อนจะออกไปใช้ชีวิตต่อแบบที่ใจไม่หนักเท่าเดิม แค่ ‘ทุกคนกลับบ้าน’ แล้วมีความสุขบ้าง
“ถ้ากลับบ้านแล้วเขาเข้าใจตัวเองมากขึ้นสักนิด ถือว่าประสบผลแล้ว " ณัฐธยาน์ กล่าวเมื่อถูกถามถึงสิ่งที่คาดหวัง โดยเฉพาะกับวัยทำงาน วัยเรียน หรือใครก็ตามที่อยู่ในบทบาทผู้สนับสนุน ซึ่งมักจะลืมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ยังไหวอยู่ไหม"
เธอเชื่อว่าสังคมกำลังเผชิญกับภาวะ "แบกโดยไม่ได้เลือก" อย่างแพร่หลาย "ทุกคนอยากเก่ง อยากช่วย อยากดูแล จนลืมไปว่าเราก็ต้องได้รับการดูแลเหมือนกัน"
และแม้ภาระบางอย่างอาจยังอยู่ ณัฐธยาน์มั่นใจว่า “ความเข้าใจและการตระหนักรู้” ที่ผู้ชมได้รับจากนิทรรศการนี้จะช่วยให้พวกเขากลายเป็น "เดอะแบกที่มีความสุขได้มากขึ้น" ไม่ใช่เพราะภาระลดลง แต่เพราะความรู้สึกที่มีต่อภาระเหล่านั้นเปลี่ยนไป เหมือนเติมน้ำใสลงในแก้วที่เคยขุ่นจนกลับมาใสแจ๋ว
สำหรับ LIGHTEN THE LOAD “แบ่งเบาบนบ่าแบก” พื้นที่ปลอดภัยของหัวใจเดอะแบก จะจัดแสดงอีกครั้งที่ห้างสรรพสินค้า The Mall Lifestore Ngamwongwan ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้สนใจได้สัมผัสแนวคิด พร้อมตอกย้ำบทบาทของการออกแบบในฐานะเครื่องมือสร้างคุณค่าให้สังคมร่วมสมัย
“สิ่งที่อยากบอกชาวเดอะแบกสำหรับหนูคือ ถ้าเรารู้สึกว่าทำเต็มที่แล้ว นั่นคือดีที่สุดแล้วสำหรับเรา ไม่ต้องดีที่สุดสำหรับใคร ไม่มีดีกว่านี้หรอก ในอายุเท่านี้ที่เราทำได้ขนาดนี้ เราก็เก่งมากแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกหรืออนุมัติว่าเราเก่ง เราสามารถรู้สึกเก่งได้ด้วยตัวเราเอง”
“อย่าเอาความสุขและความรู้สึกของเราไปผูกติดกับความคิดของคนอื่น เพราะถ้าเรามัวแต่ทำทุกอย่างตามความต้องการ หรือมาตรฐานของคนอื่น แล้วเมื่อไหร่เราจะเป็นคนที่ดีพออย่างที่เราอยากจะเป็น แค่เป็นเรามันก็คือดีพอแล้วจริงๆ” นักศึกษาสาวกล่าวทิ้งท้าย