นิด้าโพล เผย ปชช. 76% มอง ปมฉาวใน พุทธศาสนา มาจาก พระไม่ตัดขาดทางโลกพร้อมหลงลาภยศ ตำแหน่ง ด้าน ซูเปอร์โพล ชี้ ประชาชนพึงพอใจ ตำรวจ สูงสุดในการปกป้องศาสนาจากพวกบ่อนทำลาย ขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมได้คะแนนต่ำสุด สะท้อนวิกฤติศรัทธาที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงเร่งด่วน สึกอีกรูป! "พระธรรมวชิรธีรคุณ" เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ลาสิกขา วัดนครสวรรค์ออกแถลงการณ์ ยันเป็นเรื่องส่วนตัว
จากกรณี พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ตรวจสอบพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระชั้นผู้ใหญ่ทั่วประเทศ โดยล่าสุด ตำรวจกองปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบพระราชาคณะชั้นธรรมรูปหนึ่ง ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างหรือภาคกลางตอนบน กรณีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสีกาฐานะดีมานานกว่า 15 ปี พร้อมกับระบุว่า หญิงคนดังกล่าวมีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเศรษฐินี ระดับจังหวัด โดยไม่เป็นที่เคลือบแคลงของชาวบ้านในพื้นที่ ส่งผลให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า พระธรรมวชิรธีรคุณ เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง และเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นพระราชาคณะระดับชั้นธรรม อาจเป็นเป้าหมายของการตรวจสอบในครั้งนี้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 วัดนครสวรรค์ ออกแถลงการณ์วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง เรื่อง การลาออกจากตำแหน่ง และการลาสิกขา ของพระธรรมวชิรธีรคุณ อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ และอดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง ระบุว่า เนื่องจากมีข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับพระธรรมวชิรธีรคุณ อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ และอดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ แพร่หลายในสื่อต่างๆ คณะผู้บริหารวัดนครสวรรค์ จึงขอชี้แจง ข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนดังต่อไปนี้
1.เรื่องการลาออกจากตำแหน่งและการลาสิกขา พระธรรมวชิรธีรคุณได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ และเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ รวมทั้งมีความประสงค์จะลาสิกขา โดยการตัดสินใจดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านจึงขอเสียสละเพื่อความเรียบร้อยดีงามในพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์
2.เรื่องข้อกล่าวหาเรื่องการเงินเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการใช้เงินอย่างไม่โปร่งใส วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง ขอชี้แจงว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากพระธรรมวชิรธีรคุณ ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ จึงมีตำแหน่งเป็นประธานโครงการก่อสร้างพุทธอุทยานอีกตำแหน่งหนึ่ง โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้ การดำเนินงานก่อสร้างทุกโครงการในพุทธอุทยานนครสวรรค์ได้กระทำในรูปแบบคณะกรรมการ โดยมีคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ร่วมกันในการบริหารจัดการและก่อสร้าง มีการทำเอกสารหลักฐานการเงินและการจัดทำบัญชีที่สามารถตรวจสอบได้ การก่อสร้างมีการโกงเงินตามที่เป็นคดีความ ทางพุทธอุทยานนครสวรรค์ได้ฟ้องร้องและชนะคดีความ โดยผู้ที่โกงเงินไปยังหลบหนีหมายจับและไม่ใช้หนี้ตามคำพิพากษาให้กับโครงการก่อสร้าง จึงเป็นเหตุให้การก่อสร้างล่าช้า
วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง ยืนยันความโปร่งใสในการบริหารจัดการ และพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกระบวนการที่ถูกต้อง เพื่อคลี่คลายข้อข้องใจและรักษาเกียรติภูมิของพระพุทธศาสนา
ทั้งนี้ ขอให้สื่อมวลชนและประชาชนได้ใช้วิจารณญาณในการรับหรือเสนอข่าวสาร และขอความกรุณาไม่นำเสนอข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อพระพุทธศาสนา และวัดนครสวรรค์ ขอให้ช่วยกันปกป้องรักษา เชิดชูพระสัทธรรมคำสอนอันเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธบริษัท สืบไป
ส่วน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง วิกฤตพระพุทธศาสนา ! ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-16 กรกฎาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และนับถือศาสนาพุทธ กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ นิด้าโพล สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 76.11 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ตัดไม่ขาดจากทางโลก ทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ เช่น เสพยาบ้า ดื่มสุรา เล่นการพนัน ยุ่งสีกา รองลงมา ร้อยละ 45.95 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงในลาภ ยศ สรรเสริญและตำแหน่งทางสงฆ์ ร้อยละ 45.80 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงในวัตถุนิยมหรือบริโภคนิยม
ร้อยละ 40.00 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ออกบวชเพราะมองว่าพระคืออาชีพหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ ร้อยละ 29.16 ระบุว่า วัดบางแห่ง มีความเป็นพุทธพาณิชย์ ร้อยละ 27.63 ระบุว่า วัดบางแห่ง มีการบริหารจัดการทรัพย์สิน ที่ไม่โปร่งใส ร้อยละ 25.42 ระบุว่า องค์กรที่ดูแลพระพุทธศาสนาอ่อนแอขาดประสิทธิภาพในการตรวจสอบป้องกัน ร้อยละ 23.74 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ไม่อยู่ในหลักพระธรรมวินัยมีพฤติกรรมก้าวร้าว ร้อยละ 16.72 ระบุว่า ญาติโยม/ลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง ชอบชักนำให้พระสงฆ์ประพฤติหรือทำกิจกรรมที่ผิดหลักพระธรรมวินัยและการปกครองภายในวัดไม่มีประสิทธิภาพทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ
ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงตัวเอง ชอบโฆษณาอภินิหารเกินความจริง (อวดอุตริมนุสธรรม) ร้อยละ 11.60 ระบุว่า วัดบางแห่ง โฆษณาชวนเชื่อให้คนทำบุญเกินตัว/เกินเหตุจำเป็น ร้อยละ 8.32 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง มีคำสอนที่บิดเบือนคำสอนทางพระพุทธศาสนา ร้อยละ 7.79 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง เน้นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มากกว่าคำสอนทางพุทธศาสนา ร้อยละ 1.68 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ชอบยุ่งการเมือง/เลือกข้าง และร้อยละ 0.46 ระบุว่า พระพุทธศาสนาในปัจจุบันไม่มีปัญหาใด ๆ เลย
เมื่อถามถึงด้านความศรัทธาของประชาชนต่อศาสนาและพระสงฆ์ จากกรณีข่าวฉาวของพระสงฆ์ในปัจจุบัน พบว่า ความศรัทธาในพระสงฆ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 58.40 ระบุว่า ลดลง และร้อยละ 41.60 ระบุว่า เท่าเดิม ความศรัทธาในศาสนาพุทธ ตัวอย่าง ร้อยละ 68.55 ระบุว่า เท่าเดิม และร้อยละ 31.45 ระบุว่า ลดลง
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่กำหนดโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ พระสงฆ์และ/หรือฆราวาส ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พบว่า 1.พระสงฆ์ที่ต้องอาบัติปาราชิก หรือประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ตัวอย่าง ร้อยละ 80.76 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 3.82 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย 2. หญิงหรือชายสมัครใจเสพเมถุนกับพระภิกษุหรือสามเณร ตัวอย่าง ร้อยละ 17 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.03 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 3.97 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ 3. พระสงฆ์อวดอุตริมนุสธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 63 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 4.89 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.37 ระบุว่า ไม่ตอบ 4.ผู้ทำการล้อเลียน ดูหมิ่น ทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 35 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 19.92 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 10.84 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 4.81 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.08 ระบุว่า ไม่ตอบ 5.ผู้กล่าวหาพระสงฆ์ให้มีมลทินโดยไม่มีหลักฐาน ตัวอย่าง ร้อยละ 44 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 20.84 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 11.76 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 4.96 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ปกป้องศาสนาและศรัทธาของประชาชน ดำเนินการระหว่างวันที่ 16-19 กรกฎาคม 2568 โดยใช้ทั้งวิธีวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,143 คน
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า เมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อหน่วยงานรัฐที่มีบทบาทปกป้องศาสนาและศรัทธาของประชาชน พบว่า ตำรวจ ได้รับความพึงพอใจสูงที่สุด คือ 80.1% ของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งสะท้อนความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อตำรวจในฐานะกลไกหลักของรัฐที่ลงพื้นที่ปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ตามมาในลำดับที่สองด้วย 72.3% แสดงให้เห็นว่าประชาชนตระหนักถึงบทบาทเชิงโครงสร้างของหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชันที่เกี่ยวข้องกับวัดและเงินบริจาค คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับความพึงพอใจ 70.6% บ่งชี้ว่าประชาชนยังฝากความหวังไว้กับองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบอำนาจและความโปร่งใส สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้รับความพึงพอใจ 65.8% เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการติดตามเส้นทางการเงินที่ผิดปกติของวัดและพระสงฆ์ และกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งควรเป็นเสาหลักในการส่งเสริมศาสนา กลับได้รับเพียง 41.2% สะท้อนถึงความต้องการการปรับบทบาทให้เข้มแข็งและทันสมัยมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนให้ความไว้วางใจแก่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและต่อต้านทุจริตมากกว่าหน่วยงานด้านศาสนาโดยตรง นี่คือสัญญาณเตือนให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานศาสนาพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงานใหม่เพื่อให้สามารถฟื้นฟูความศรัทธาของประชาชนได้อย่างแท้จริง ที่น่าสนใจคือในการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อมาตรการเชิงรุกในการจัดการกับพระหรือนักบวช ที่กระทำผิดและส่งผลต่อศรัทธา พบว่า ประชาชนถึง 78.5% พอใจต่อการจับกุมพระหรือบุคคลในสมณเพศที่มีความสัมพันธ์ทางเพศต้องห้ามทางศาสนา ซึ่งถือเป็นการล่วงละเมิดจริยธรรมและศีลธรรมขั้นร้ายแรง 74.2% พอใจต่อการดำเนินคดีทางกฎหมายกับพระสงฆ์ที่ยักยอกเงินวัดหรือเงินบริจาค
แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความสำคัญต่อความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ของผู้รับใช้ศาสนา 73.1% สนับสนุนการตรวจสอบทรัพย์สินของพระสงฆ์และฆราวาสที่เกี่ยวข้องกับวัดเพื่อป้องกันการสะสมทรัพย์เกินควรหรือผิดวัตถุประสงค์ 69.7% พอใจต่อการที่เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบพระสงฆ์หรือนักบวชอย่างรวดเร็วหลังได้รับแจ้งเบาะแส และ 55.2% พอใจต่อการที่รัฐมีมาตรการคุ้มครองพระหรือนักบวชที่เป็นคนดีไม่ให้ถูกรังแกหรือใส่ร้าย ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าความพึงพอใจในระดับสูงต่อการจัดระเบียบและปราบปรามผู้ที่บ่อนทำลายศาสนาบ่งชี้ถึงแรงกดดันทางสังคมที่ต้องการเห็น การกระทำที่เป็นรูปธรรม มากกว่าคำพูดหรือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เพียง เปลือกนอก และพร้อมสนับสนุนให้คุ้มครองพระแท้ที่ปฏิบัติตนตามหลักศาสนาอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนได้ยกย่องบุคคล 5 อันดับแรกที่มีบทบาทโดดเด่นในการเปิดโปงหรือติดตามข่าวสารเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่ทำผิด ได้แก่ อันดับหนึ่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว (บิ๊กเต่า) ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดถึง 74.6% เพราะประชาชนเห็นว่าเป็นตำรวจที่ซื่อสัตย์ กล้าหาญ และเป็นแบบอย่างของ ตำรวจน้ำดี อันดับสองได้แก่ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ได้รับ 73.4% เนื่องจากเปิดพื้นที่สื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ชี้แจงและติดตามข่าวพระมั่วสีกาอย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง อันดับสาม ได้แก่ แพรรี่ ทิดไพรวัลย์ ได้รับ 69.8% ด้วยบทบาทที่พูดแทน