เมื่ออดีตผู้นำที่เคยครองเวทีการเมืองไทย กลับกลายเป็นเป้าของแรงกดดันทั้งในและนอกระบบ จาก 7 จุดพลาดสำคัญที่พาทักษิณ ชินวัตร สู่จุดเปราะบางที่สุดในชีวิตทางการเมือง
การกลับมาเมืองไทยของทักษิณเมื่อปลายปี 2566 ถูกมองว่าเป็น “การกลับบ้านที่เตรียมบทไว้ล่วงหน้า” แต่เพียงไม่นาน กลับตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจาก “คนถูกล้อม” ทางการเมืองและกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อเผชิญทั้งแรงกดดันจากศาล, สังคม, พรรคร่วม และสถานการณ์ในต่างประเทศที่พลิกผันอย่างไม่คาดคิด เพราะพลาดกันแล้วครั้งเล่าดังนี้
1.พลาดจากการประเมิน “กระแสประชาชน” ต่ำเกินไป
ทักษิณอาจคาดหวังว่าการกลับมาในช่วงที่ประชาชนกำลังต้องการเสถียรภาพทางการเมือง จะทำให้เขาได้รับการยอมรับมากขึ้น ทว่า กระแสต้าน “ระบอบทักษิณ” กลับแรงขึ้น ไม่ใช่แค่จากพรรคตรงข้าม แต่รวมถึงกลุ่มประชาชนรุ่นใหม่ และแม้แต่พรรคร่วมที่เคยอิงกับเขาในอดีต
การกลับมาที่วางไว้ว่า “จะเป็นความอบอุ่นและชัยชนะ” กลับกลายเป็นการเปิดจุดอ่อน และทำให้ชื่อทักษิณกลับมาอยู่ในพื้นที่ขัดแย้งสาธารณะอย่างรุนแรงอีกครั้ง
2.พลาดจาก “การเล่นเกมเร็ว” มากเกินไป
หนึ่งในสิ่งที่ทักษิณพลาดคือการ เร่งรัดเกมอำนาจหลังการเลือกตั้ง 2566 โดยผลักดันให้พรรคเพื่อไทยเข้าจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับพรรคที่เคยเป็นฝ่ายตรงข้าม เช่น พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ
แม้จะประสบความสำเร็จในเชิงยุทธศาสตร์ แต่ในแง่ภาพลักษณ์และความชอบธรรมกลับกลายเป็น “ดาบสองคม” เพราะสูญเสียฐานเสียงเดิมจำนวนมาก และทำให้คำว่า “เพื่อไทยเปลี่ยนไป” กลายเป็นไวรัลในเชิงลบ
3.พลาดจากความเงียบในเรื่องที่ควรชี้แจง
ทักษิณมักเป็นคนที่ตอบโต้เร็ว แต่เมื่อเกิดประเด็นร้อนอย่างเช่น กรณีคลิปเสียงเจรจากับสมเด็จฮุน เซน, การใช้โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 เป็นที่พำนักแทนเรือนจำด้วยข้ออ้างมีอาการป่วยหนัก หรือกรณีคดีชั้น 14 ที่ยังไม่จบ ทักษิณกลับนิ่งเงียบหรือพูดในลักษณะที่เบี่ยงเบนจากประเด็นหลัก
การนิ่งในช่วงที่ประชาชนต้องการคำอธิบายกลับกลายเป็น “ช่องว่างแห่งความสงสัย” ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลุ่มหนุนเริ่มมีเสียงแตก และคู่แข่งทางการเมืองหยิบมาใช้โจมตีอย่างต่อเนื่อง
4.พลาดจาก “ความมั่นใจในเครือข่ายอำนาจ” เกินไป
การที่ทักษิณกลับมาโดยคาดว่าทุกอย่างจะเดินตามแผน ไม่ว่าจะเป็นการรอลงอาญา การรักษาตัวในชั้น 14 และการนิรโทษกรรมในทางใดทางหนึ่ง กลับสะท้อนว่าเขาอาจประเมินเครือข่ายอำนาจใหม่ในประเทศไทยผิดพลาด
ประเทศไทยในปี 2568 ไม่ใช่ไทยในปี 2549 หรือ 2554 อีกต่อไป กลไกตุลาการ สื่อมวลชน และโซเชียลมีเดีย กลายเป็นดุลอำนาจใหม่ที่ไม่อาจควบคุมได้เหมือนเดิม
5.พลาดจากการใช้ “ครอบครัว” เป็นหัวหอก
การผลักดันให้ แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะที่ตนเองยังมีคดีและกระแสต่อต้านสูง อาจดูเป็นชัยชนะของตระกูลในระยะสั้น แต่ในระยะยาวกลับเป็นการดึงชื่อของลูกสาวเข้าสู่พายุทางการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทุกการเคลื่อนไหวของแพทองธารในฐานะนายกฯ ถูกตีความว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลของทักษิณ และนั่นทำให้เธอขาดอิสระในการสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำที่แท้จริง
6.พลาดจาก “การไม่เว้นระยะ” ระหว่างตัวเองกับการเมือง
แทนที่ทักษิณจะเว้นระยะเพื่อฟื้นฟูชื่อเสียงและจัดการคดีในแบบสุขุม เขากลับเลือกเส้นทางของ “ผู้มีบทบาททันที” ทั้งการพูดแทรกประเด็นใหญ่ การเดินสายพบผู้มีอำนาจ และการส่งสัญญาณผ่านนักการเมืองใกล้ชิด
สิ่งนี้ทำให้เขากลายเป็นศูนย์กลางของการถูกโจมตี ทั้งจากฝ่ายตรงข้ามและจากกลุ่มกลางที่เคยให้โอกาส
7.พลาดจาก “การประเมินทิศทางโลก” ต่ำเกินไป
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค โดยเฉพาะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา, ท่าทีของสหรัฐฯ ต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, และบทบาทใหม่ของจีน ทักษิณดูเหมือนจะยังคงใช้ทฤษฎีเก่าในการบริหารเครือข่าย
การเปิดช่องเจรจากับฮุน เซน แม้จะดูเป็นการสานสัมพันธ์เก่า แต่กลับถูกตีความว่าอาจเปิดช่องให้ต่างชาติแทรกแซงผลประโยชน์ของไทย และกลายเป็นเป้าการตรวจสอบเชิงความมั่นคงระหว่างประเทศทันที
บทสรุป: เมื่อ “ความคุ้นเคย” กลายเป็น “กับดัก”
สิ่งที่ทักษิณพลาดไม่ใช่แค่การวางหมากผิด แต่คือการประเมินฉากทัศน์ใหม่ของการเมืองไทยต่ำเกินไป เขากลับมาด้วยความมั่นใจแบบคนที่เคยควบคุมระบบได้ทั้งหมด แต่ลืมไปว่าโลกเปลี่ยนไปเร็วกว่าแผนที่วางไว้หลายเท่า
การเมืองไทยวันนี้ไม่ได้อยู่ในมือใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นสนามที่ “กระแสประชาชน, โซเชียลมีเดีย, อำนาจตุลาการ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” กำหนดทุกจังหวะ
และหากไม่ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน ทักษิณอาจไม่ได้แค่พาตัวเองเข้าสู่จุดเสี่ยงเท่านั้น แต่อาจพาทั้งเครือข่ายการเมืองของตนเองเข้าสู่ทางตันที่ยากจะแก้ไข
#ทักษิณชินวัตร#ทักษิณพลาดอะไร#วิเคราะห์การเมือง#การเมืองไทย2568#เพื่อไทย#แพทองธาร#ระบอบทักษิณ #ศึกในศาลนอกสภา#เกมการเมือง#ทักษิณทางตัน