หลังจากเงียบหายไปจากหน้าสื่อและความเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่พักใหญ่ จู่ ๆ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ก็กลับมาอีกครั้งในจังหวะที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ทั้งการขึ้นเวทีเสวนา, การประกาศตัดสัมพันธ์กับสมเด็จฮุน เซน, การถอนร่าง พ.ร.บ.กาสิโน รวมถึงคำพูดที่สั่นสะเทือนกลุ่มอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบ

ในสายตาผู้ชมการเมืองมืออาชีพ การกลับมาครั้งนี้ของทักษิณไม่ใช่แค่ “การเคลื่อนไหวธรรมดา” หากแต่คือ “การเดินเกม”

และหนึ่งในข้อสังเกตที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ "ทักษิณต้องการให้ทุกคนหันมาจ้องเขา เพื่อหยุดการรุมถล่มแพทองธาร ชินวัตร"

🔍 หลบไฟให้ลูกสาว? วาทกรรมล่อฟ้าในเกมเขาวงกต

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกจากพรรคเพื่อไทย เผชิญมรสุมทางการเมืองหลายด้าน ทั้งเสียงวิจารณ์เรื่องความไร้ประสบการณ์, ปัญหาคลิปเสียงกับฮุน เซน, กระแสกดดันให้ลาออก, และเสียงเรียกร้องยุบสภา

แม้พรรคเพื่อไทยพยายามตั้งรับหลายครั้ง แต่ก็เหมือน “แรงกระแทก” จากสังคมเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน จนทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลเริ่มสั่นคลอนอย่างต่อเนื่อง

และในจังหวะที่รัฐบาลอยู่ในมุมอับ…ทักษิณกลับออกมาพูดว่า“ผมอยู่ ผมรับรู้ทุกเรื่อง และจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

ประโยคนี้ไม่ได้สะเทือนแค่ฝ่ายตรงข้าม แต่ยังดึงทุกสายตากลับมาที่เขา

ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ มันก็ได้ผล “ศูนย์กลางของการถล่ม” ถูกเปลี่ยนจากแพทองธาร กลับไปยังทักษิณอีกครั้ง

🎭 ทักษิณ...เป้าใหญ่ที่คุ้นเคย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทักษิณใช้ “ตัวเอง” เป็นเป้ารับแรงปะทะเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากคนใกล้ตัว

ในอดีต เขาเคยให้สัมภาษณ์เพื่อโต้กลับฝ่ายอนุรักษ์นิยมในจังหวะที่ลูกสาวหรือพรรคถูกกดดัน

เคยใช้วาทกรรม “เขาไม่ใช่ผม” เพื่อแยกภาพลักษณ์ทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในพรรคออกจากตนเองและครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน

การขึ้นเวทีพูดถึง “กระทรวงมหาดไทย”, “เส้นแบ่งแดง–ส้ม”, “การไม่แตะสถาบัน” ล้วนแล้วแต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาวิจารณ์ตัวทักษิณโดยตรง

ขณะเดียวกัน คนที่เคยโจมตีแพทองธาร ก็ต้องเบนมุมไปหาเจ้าของวาทกรรมตัวจริงแทน

🧠 เกมซ้อนเกม: ปั้นเป้า เพื่อผลักฟ้า

ในเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมือง การสร้าง “เป้าใหญ่” ที่คุ้นเคยให้ถูกโจมตีซ้ำซาก อาจดูเหมือนเปิดช่องให้ตัวเองเสียหาย

แต่ในอีกด้าน มันคือ การยื้อเวลา – ลดแรงกดดัน – และแบ่งไฟ ให้คนที่ยังอ่อนชั้นทางการเมืองกว่า

หากเปรียบเทียบในเชิงยุทธศาสตร์

ทักษิณ = โล่เก่าแต่ยังหนา

แพทองธาร = ผู้เล่นใหม่ที่ยังเปราะบาง

เมื่อกระแสต่อต้านนายกฯ หญิงเริ่มขยายตัว ทักษิณจึงก้าวออกมา "ขยับใหญ่" แบบที่เขารู้ว่าจะโดนด่าแน่นอน เพื่อแลกกับการเบนเป้า และจนถึงขณะนี้ มันก็ได้ผล ไม่ว่าจะในมุมของสื่อ, โซเชียล, หรือแม้แต่ฝ่ายค้าน

⚠️ แต่นี่อาจเป็นดาบสองคม

อย่างไรก็ตาม เกมเบี่ยงประเด็นด้วยตัวเองเช่นนี้ อาจเป็นดาบที่หันคมย้อนกลับมาทิ่มพรรคและตัวเองในระยะยาว

เพราะการที่ทักษิณแสดงบทบาท “ผู้นำเงา” อย่างชัดเจน ทั้งการชี้ทิศทางนโยบาย, พูดแทนรัฐบาล, สื่อสารกับชนชั้นนำ ล้วนแล้วแต่สะท้อนว่า “พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นอิสระ”

และในบริบทของกฎหมายพรรคการเมืองไทยที่มีบทบัญญัติชัดเจนเรื่อง “การครอบงำจากคนนอก”

ยิ่งทักษิณพูดมากเท่าไหร่

ยิ่งเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามร้องยุบพรรคมากขึ้นเท่านั้น

🗳️ ในวันที่ความเป็นพ่อ อาจกลายเป็นความผิดทางการเมือง

การกลับมาขยับของทักษิณในเวลานี้อาจมองได้ว่าเป็นการ ปกป้องลูกสาวทางการเมือง อย่างที่สุด

แต่ในระบบประชาธิปไตยเต็มใบ การกระทำแบบนี้อาจถูกมองว่าเป็น “การแทรกแซง”

และหากคำพูดเช่น “ผมอยู่ ผมรู้ทุกเรื่อง” ถูกตีความว่าเป็นการ ครอบงำรัฐบาล

ผลลัพธ์ก็อาจไม่ได้จบแค่การวิจารณ์

แต่ถึงขั้น กระบวนการยุบพรรค หรือฟ้องร้องต่อ กกต. ก็มีความเป็นไปได้

✅ กลับมาเพื่อกลบ หรือกลับมาเพื่อจุดไฟ?

การเคลื่อนไหวของทักษิณในช่วงนี้ ไม่ว่าจะด้วยเจตนาใดก็ตาม

ส่งผลชัดเจนในเชิงยุทธศาสตร์การเบี่ยงเบนประเด็น

แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เผยให้เห็นภาพ “รัฐในเงา” ที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่สบายใจ

เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่พวกเขาเลือก อาจไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจจริง

และนี่คือสิ่งที่ทำให้การกลับมาของทักษิณ อาจไม่ใช่แค่ "การแก้เกม"

ทว่า คือการ “เปิดศึกครั้งใหม่” ที่เดิมพันสูงกว่าเดิมหลายเท่า

 

#ทักษิณกลืนเลือด #เรียกแขกล่อฟ้า #แพทองธารใต้แรงกดดัน #พ่อนายกยังไม่วางมือ #รัฐในเงาทักษิณ #ครอบงำพรรคหรือคำปรึกษา #เพื่อไทยเดิมพันสูง #การเมืองไทย2568 #ศึกเงาเพื่อกลบเป้า #เปิดศึกครั้งใหม่