“สมศักดิ์” ปาฐกถา ยกระดับดูแลผู้สูงอายุ ให้เข้าถึงบริการสาธารณสุขง่าย-ใกล้บ้าน ผ่านนโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่” พร้อมนวัตกรรมระบบการแพทย์ทางไกล รองรับเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ยัน เดินหน้าควบคุมกัญชา ไม่กระทบผู้จำเป็นต้องใช้ทางการแพทย์ เผย ในรัฐบาลอดีต ขออนุญาตเปิดร้านกว่า 1 หมื่นร้าน แต่ไม่เกี่ยวทางการแพทย์ จึงคุมเข้มหวั่นเยาวชนเข้าถึง แย้ม กำลังเดินหน้าดึงกลับยาเสพติด ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชน ที่ลงชื่อกว่า 1 แสนคน

วันที่ 25 มิ.ย.2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวปาฐกถาในการประชุมนานาชาติว่าด้วยสุวรรณภูมิแห่งสุขสภาพ 2568 "สุขสภาพในโลกที่เต็มด้วยผู้สูงวัย" โดยมี ศาสตราจารย์.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาตินานาชาติ นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เข้าร่วม ที่ห้องประชุมคอมพัส แคมพัส ถนนบางนา-ตราด

 โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเปิดการประชุมนานาชาติว่าด้วยสุวรรณภูมิแห่งสุขสภาพ 2568 ภายใต้หัวข้อ “สุขสภาพในโลกที่เต็มด้วยผู้สูงวัย” ในวันนี้ เพราะการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ เป็นความท้าทายที่สำคัญในปัจจุบัน โดยองค์การสหประชาชาติคาดว่า จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 2 พันล้านคน ในปี 2593 ทำให้สัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 22 ของประชากรโลก สำหรับประเทศไทย ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้วในปี 2567 โดยมีผู้สูงอายุประมาณ 14 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20.7 ของประชากร และคาดว่า จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28 ในปี 2573 ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านผู้สูงอายุนั้น มีจุดมุ่งหมายให้คนไทย “อายุยืนยาว มีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ในช่วงทุพพลภาพสั้นที่สุด และจากไปอย่างสมศักดิ์ศรี” ผ่านกลไกต่างๆ ได้แก่ การดูแลสุขภาพกายใจและสังคม การดำรงกิจวัตรประจำวันและพึ่งพาตนเองได้ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมกับวัย การยืดอายุสมองเพื่อป้องกันสมองเสื่อม การมีเพื่อนเข้าสังคม การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การดูแลผู้สูงอายุในปัจจุบัน ได้รับการยกระดับให้เข้าถึงง่าย ใกล้บ้าน และครอบคลุม ผ่านนโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่” ของรัฐบาล ที่ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว พร้อมนวัตกรรมระบบการแพทย์ทางไกล นวัตกรรมตู้ห่วงใย หรือการรับยาใกล้บ้าน ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และลดระยะเวลารอคอยการรักษาพยาบาลได้ ร่วมกับระบบการดูแลผู้สูงอายุแบบไร้รอยต่อ เริ่มตั้งแต่ก่อนวัยสูงอายุ ไปจนถึงกลุ่มที่มีภาวะพึ่งพิง โดยกลุ่มก่อนวัยสูงอายุนั้น จะเน้นการส่งเสริมป้องกันโรค โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือ NCD เรารณรงค์ให้คนไทย กินเป็นไม่ป่วย สวยหล่ออายุยืน และเริ่มคัดกรองสุขภาพด้วย Blue Book เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ซึ่งเมื่อผู้สูงอายุเริ่มเจ็บป่วย เรามีระบบการดูแลต่างๆ ได้แก่ คลินิกผู้สูงอายุ ระบบการดูแลระยะวิกฤติ และระบบการดูแลระยะกลาง

“สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เรามีระบบการดูแลได้แก่ ระบบการดูแลระยะยาว และระบบการดูแลระยะสุดท้าย ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็นการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขเพียงหน่วยงานเดียว แต่เป็นการร่วมมือกันของหลากหลายภาคส่วน เช่น สปสช อปท ผู้นำชุมชน โรงเรียน วัด และพี่น้อง อสม ทั่วประเทศ โดยปัญหาเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อทุกมิติ ทั้งสังคม ระบบสุขภาพ และเศรษฐกิจ จึงมีความสำคัญที่กระทรวงสาธารณสุข จะต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อนำรายได้กลับมาดูแลพี่น้องคนไทยอย่างดีที่สุด ผมจึงมีนโยบายพัฒนา Medical and Wellness Hub ขึ้นในประเทศไทย ซึ่ง Medical and Wellness Hub นี้ จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจทางตรงกว่า 1.78 แสนล้านบาท และถ้านับรวมทั้งมูลค่าทางตรงและทางอ้อม จะมีมูลค่ารวมถึง 5.28 แสนล้านบาท และสิ่งที่สำคัญ คือ เราจะยกระดับภูมิปัญญาไทยที่เป็น Soft Power สำคัญ หรือการนวดไทย โดยเราได้เปิดวิทยาลัยการนวดไทยแห่งประเทศไทยไปแล้ว จะมีการอบรมสร้างหมอนวดไทยกลุ่มอาชีพรายใหม่เพิ่มกว่า 50,000 คน และเพิ่มหมอนวดไทยเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รักษา 7 โรค อีก 20,000 คน รวมถึงเรายังมุ่งมั่นยกระดับสมุนไพรไทย ให้มีการใช้งานมากขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเราได้สนับสนุนการเบิกจ่ายยาสมุนไพรไทย ในทุกเขตสุขภาพ” รมว.สาธารณสุข กล่าว

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า แนวทางการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข คือ การส่งเสริมป้องกัน เพราะหากเรารับประทานแป้งและน้ำตาลมากเกินจำเป็นในแต่ละวัน น้ำตาลส่วนเกินจะไปเกาะกับโปรตีนในเม็ดเลือด ทำให้เกิดปฏิกิริยา “ไกลเคชั่น” ทำให้เกิดสารที่เรียกว่า “AGE” ซึ่งเป็นของเสีย จะไปเกาะผนังของหลอดเลือดจนเกิดอาการอักเสบ เมื่ออักเสบเป็นๆหายๆก็จะมีแคลเซียมมาเกาะในหลอดเลือด และเมื่อแคลเซียมมาเกาะมากขึ้น หลอดเลือดก็จะตีบตัน จนพัฒนากลายเป็นทั้งโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมอง เพราะฉะนั้น หนึ่งในนโยบายที่สำคัญของตน คือ การนับคาร์บ เพื่อให้พี่น้องคนไทย สามารถทานคาร์โบไฮเดรตได้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยล่าสุด คนไทยเรียนรู้การนับคาร์บเป็นแล้วกว่า 34 ล้านคน สำหรับ “คลินิก NCDs รักษาหาย” ที่ตั้งขึ้นมา ช่วยให้คนไทยหายจาก NCDs แล้วเกือบ 18,000 คน แค่เริ่มต้นไปเพียง 4 เดือน ก็ลดค่าใช้จ่ายของประเทศไปได้กว่า 520 ล้านบาท ต่อปี และถ้าทุกคนทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง คนไทยจะสุขภาพดี คนที่จะป่วยก็ไม่ป่วย และประหยัดงบประมาณของประเทศอย่างมหาศาล

นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า วันนี้ ตนได้มีโอกาสเล่าเรื่องการขับเคลื่อน NCDs การนับคาร์บ ซึ่งมีประชาชน เข้าใจแล้วกว่า 34 ล้านคน ทำให้มั่นใจได้เลยว่า ผู้ป่วย และการใช้ยา จะน้อยลง โดยถ้าเด็ก เรียนรู้ตั้งแต่เรียนหนังสือ ก็จะสามารถทำให้อายุยืนขึ้นได้อีกด้วย

เมื่อถามถึงเรื่องกัญชาที่ได้ลงนามประกาศเมื่อวานที่ผ่านมา จะเดินหน้าต่ออย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ให้เวลาผู้ประกอบการที่เปิดร้าน ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยขณะนั้น เปิดร้านมากว่า 1 หมื่นร้าน ซึ่งไม่เกี่ยวในเรื่องทางการแพทย์ ตนจึงเพิ่มในเรื่องการใช้ การครอบครองต่างๆให้ชัดเจน โดยต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่า ผู้ที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้กัญชา ก็ยังสามารถใช้ได้ จะไม่เป็นปัญหาอุปสรรค แต่เราไม่ต้องการให้ใช้ในทางที่ผิดโดยที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ซึ่งไม่ว่ากัญชาจะเป็นสมุนไพรควบคุมอย่างไร ก็ต้องเน้นหนักในทางการแพทย์ และไม่ว่ากัญชาจะเป็นยาเสพติด เราก็ให้ใช้ในทางการแพทย์ ส่วนด้านอื่นๆต้องขออนุญาตเท่านั้น

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่ถูกปรับแก้จาก พ.ร.บ.ยาเสพติด ปี 2522 มาเป็นประมวลกฎหมายยาเสพติด ในปี 2564 ซึ่งในยาเสพติดประเภท 5 มีทั้ง ฝิ่น กัญชา กระท่อม แต่เมื่อกฎหมายใหม่ ก็นำเอากระท่อม และกัญชา ออกจากประมวลกฎหมายยาเสพติด และให้ รมว.สาธารณสุข จะประกาศยาเสพติดประเภท 5 อะไรก็แล้วแต่ สามารถประกาศเพิ่มเติม หรือ ถอดถอนได้ ตามคำแนะนำของคณะกรรมการ ปปส. ที่มีรองนายกฯเป็นประธาน โดยถ้าอ่านกฎหมาย และเข้าใจกฎหมาย ก็จะเดินตามนี้ จะไม่มีข้อสงสัย แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ลองเปิดประมวลกฎหมายยาเสพติดดู ซึ่งขณะนี้ การดำเนินการเป็นสมุนไพรควบคุมเข้มข้น ก็จะต้องดูการดำเนินการไปสักระยะหนึ่ง และไปแก้ไขในส่วนที่พะรุงพะรัง โดยเชื่อว่า 3 เดือน จะคลี่คลายทั้งหมด

เมื่อถามว่า กลุ่มผู้ปลูกออกมาเรียกร้อง เนื่องจากลงทุนไปจำนวนมาก นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่กระทบคนปลูก ที่ทำอยู่ขณะนี้ แต่ถ้าปลูกใหม่ ก็ทำให้ถูกต้องตามระเบียบ ส่วนผู้ที่ปลูกไปแล้ว ต้นก็มีอายุของเขา คงไม่มีปัญหาอะไร เมื่อถามต่อว่า ในส่วนของร้านค้า หรือ คาเฟ่ จะมีการเยียวยาอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยังทำได้อยู่เหมือนเดิม แต่ของเดิมไม่มีเรื่องการซื้อ การอนุญาตต่างๆ เขาอาจจะไม่ค่อยสะดวกในช่วงแรกๆ แต่เรามีเจตนารมณ์ที่ดีเพื่อส่วนรวม ไม่ให้เยาวชนเข้าถึง โดยที่ผ่านมา กลุ่มเยาวชน ก็ลงชื่อกว่า 1 แสนคน ขอร้องให้นำกัญชากลับเป็นยาเสพติด แต่เราก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากยังมีความขัดแย้งในความคิดเห็นหลายประเด็น แต่ขณะนี้ ก็เป็นช่องทาง ฝากบอกไปยังกลุ่มเยาวชนว่า ตนกำลังดำเนินการตามแนวทางที่กลุ่มเยาวชนอยากได้