นับเป็นข้อตกลงที่สับสนในช่วงแรก พร้อมกับเป็นคำถามว่า จริงแท้แน่นอนหรือไม่? ตลอดจนยังเป็นข้อกังขาว่า เสียงถล่มโจมตีระหว่างกัน จะสงบยุติลงได้จริงๆ หรือไม่? สำหรับ “ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน” เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตามที่หลายฝ่ายออกมาประกาศยืนยัน
ไม่ว่าจะเป็นจากการประกาศของทางการอิสราเอล และทางการอิหร่าน ในฐานะประเทศคู่สงคราม รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประเทศที่เข้าร่วมในเวลาต่อมา ด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเข้าใส่เป้าหมายที่อ้างว่าเป็นสถานที่เสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมของอิหร่าน จำนวน 3 แห่งด้วยกัน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงท้ายของการสู้รบ ก่อนที่ทั้งอิสราเอลและอิหร่าน ทำข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน
โดยเป็นข้อตกลงหยุดยิง หลังจากที่ทั้งสองฝ่าย คือ อิสราเอลและอิหร่าน ทำสงครามสู้รบกันด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ หรือยุทธเวหา โดยใช้ขีปนาวุธและโดรนทางการทหาร โจมตีเข้าใส่พื้นที่เป้าหมายระหว่างกันเป็นหลัก เป็นเวลา 12 วันด้วยกัน หรือตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน เป็นต้นมา
ก่อนที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ จะร่วมวงไพบูลย์ หรือร่วมแจม ด้วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเข้าใส่เป้าหมายเป็นพื้นที่ที่อ้างว่าเป็นฐาน หรือสถานีที่ตั้งนิวเคลียร์ ซึ่งก็คือ สถานที่เสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมให้มีความเข้มข้นสูงขึ้นกว่าปกติ เพื่อใช้ในการผลิตเป็นอาวุธนิวเคลียร์ในอิหร่าน นั่นเอง จำนวน 3 แห่งด้วยกัน เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้ทางการอิหร่าน มีปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเข้าใส่ฐานทัพสหรัฐฯ ในกรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เป็นการตอบโต้ในเวลาต่อมา ก่อนที่ทั้งอิสราเอลและอิหร่าน จะมีรายงานว่า ได้ทำข้อตกลงหยุดยิงตามที่กล่าวแล้วข้างต้น
ทว่า เมื่อกล่าวถึงการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ต่ออิหร่านดังกล่าวแล้วนั้น ปรากฏว่า สถาบัน สำนักสำรวจความคิดเห็น หรือการทำโพลล์ของสำนัก หรือเฮาส์ต่างๆ ได้สำรวจโพลล์ หรือความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกัน ที่มีต่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ หรือยุทธเวหาที่บังเกิดขึ้น รวมถึงหากสถานการณ์สู้รบ ลุกลามบานปลายออกไป จนถึงขั้นที่สหรัฐฯ กอดคอกับอิสราเอล ไปเข้าร่วมทำสงครามกับอิหร่านด้วยว่า จะมีความคิดเห็นเป็นประการใด?
โดยการสำรวจความคิดเห็นของสถานีโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งได้จัดทำซีเอ็นเอ็นโพลล์ เปิดเผยผลการสำรวจ ปรากฏว่า ร้อยละ 56 ของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่ตัดสินใจสั่งให้กองทัพปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่ออิหร่าน
ส่วนผู้ที่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ มีจำนวนร้อยละ 44 ของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม
ก็ต้องถือว่า มีผู้ไม่เห็นด้วยกับประธานธิบดีทรัมป์ มากกว่าครึ่ง หรือเกินกว่าร้อยละ 50 และถ้าหากนับตัวเลขเป็นแบบ “ค่าประมาณ” ของจำนวนร้อยละ 56 ก็กล่าวได้ว่า มีจำนวนถึง 6 ใน 10 เลยทีเดียว
พร้อมกันนี้ ทางกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์ข้างต้น ก็ยังแสดงความคิดเห็นด้วยต่อเนื่องว่า มีความหวั่นวิตกกังวลว่า อิหร่านจะเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
นอกจากนี้ ทางซีเอ็นเอ็นโพลล์ ยังได้สำรวจความคิดเห็นแบบแยกย่อยไปในแต่ละกลุ่มทางการเมือง ก็ปรากฏว่า ถ้าเป็นกลุ่มตัวอย่างที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็มีตัวเลขของผู้ไม่เห็นด้วยจำนวนสูงถึงร้อยละ 88 สวนทางแตกต่างจากกลุ่มตัวอย่างที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฟากเดียวกันกับประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ตัวเลขของผู้เห็นด้วย มีจำนวนสูงถึงร้อยละ 82
อย่างไรก็ตาม เมื่อสำรวจความคิดเห็นไปที่กลุ่มที่ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองฝ่ายใด คือ เป็นอิสระ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า มีความเป็นกลางยิ่งกว่าสองกลุ่มตัวอย่างข้างต้น ก็พบว่า ร้อยละ 60 เลยทีเดียว ที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ รวมถึงไม่เห็นด้วยที่จะไปทำสงครามสู้รบกับอิหร่าน
นั่น! เป็นผลการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกัน โดยสถานีโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็นชื่อดังในสหรัฐฯ ส่วนสำนักสื่อและสถาบันวิจัยนอกสหรัฐฯ เช่น “ดิอีโคโนมิสต์” ซึ่งเป็นสื่อในอังกฤษ และ “ยูกอฟ” สถาบันวิจัยทางการตลาดในอังกฤษเช่นกัน ได้ร่วมมือกันสำรวจความคิดเห็นชาวสหรัฐฯ ต่อสงครามอิสราเอลกับอิหร่าน ที่สหรัฐฯ เข้าไปพัวพัน โดยได้ผลสำรวจออกมาดังนี้
กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม จำนวนถึงร้อยละ 60 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยที่ประเทศของพวกเขา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ จะถูกลากไปเข้าร่วมอิสราเอล ในการทำสงครามสู้รบกับอิหร่าน เรียกว่า มิใช่แต่เฉพาะจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ให้กองทัพสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่ออิหร่านเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเข้าไปแทรกแซงทางการทหารในสงครามดังกล่าวอีกด้วย
พร้อมกันนี้ ในการสำรวจความคิดเห็นแบบแยกย่อยลงไปในกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม พบว่า ร้อยละ 65 เป็นพลพรรคของเดโมแครตที่ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์ ส่วนผู้ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดที่ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์ มีจำนวนที่ร้อยละ 61
นอกจากนี้ ในการสำรวจของ “ดิอีโคโนมิสต์” และ “ยูกอฟ” ก็ยังพบด้วยว่า บรรดาพลพรรครีพับลิกัน จำนวนไม่น้อย ก็ใช่ว่าจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ที่พวกเขาเลือกมา โดยมีผู้ไม่เห็นด้วยจำนวนมาถึงร้อยละ 53 หรือมากกว่าครึ่งเลยทีเดียว
ในการสำรวจของ “ดิอีโคโนมิสต์” ร่วมกับ “ยูกอฟ” ยังพบอีกว่า ผู้เห็นด้วยการแทรกแซงทางการทหารของสหรัฐฯ ในกรณีสงครามการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน มีจำนวนเพียงร้อยละ 16 เท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่แสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย คือ ยังไม่ได้ตัดสินใจ หรือตัดสินใจไม่ได้ มีจำนวนที่ร้อยละ 24
ทั้งนี้ บรรดาชาวสหรัฐฯ ผู้ไม่เห็นด้วยข้างต้น ก็ยังมีความคิดเห็นว่า การทำเช่นนั้น จะกลับกลายทำให้สหรัฐฯ มีความเสี่ยงภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากอิหร่านอย่างเพิ่มขึ้น พูดอย่างภาษาบ้านๆ ก็คือ ไม่ควรเอาตัวเองไปเสี่ยงกับสถานการณ์ที่เป็นอันตรายเช่นนั้นกันโดยใช่เหตุ