กรณีปลาหมอคางดำ จากการเรียกร้องความรับผิดชอบ สู่การฟ้องร้อง 2 คดี คือ ฟ้องกลุ่มคดีแพ่งต่อผู้นำเข้าพันธุ์ปลา เพื่อการชดใช้ความเสียหาย และการฟ้องกลุ่มที่เคลื่อนไหวจากการใช้ภาพเท็จและบิดเบือนข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง โดยเฉพาะกรณีหลัง สังคมต้องพิจารณาความถูกต้องของข้อมูลที่เผยแพร่ และความรับผิดตามกฎหมาย เมื่อมีพฤติการณ์เผยแพร่ภาพที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลและองค์กร หากเกิดขึ้นกับเรา เราจะนิ่งยอมให้การกล่าวหาเดินหน้าต่อหรือไม่
แม้ว่า จะมีความพยายามกล่าวอ้างว่าเป็น “สิทธิในการแสดงความคิดเห็น” และเป็นเหยื่อของ “การฟ้องปิดปาก” แต่การกระทำที่เจตนาสร้างผลกระทบเชิงลบต่อองค์กรใดๆ โดยปราศจากหลักฐาน และก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้อื่นนั้น ย่อมเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายแพ่งและอาญา
กรณีการเผยแพร่ภาพเท็จและข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับบริษัทที่นำเข้าพันธุ์ปลา โดยไร้การตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ไม่เพียงเป็นความผิดพลาดในเชิงจริยธรรมของใครก็ตามที่ใช้เป็นข้ออ้างในการปกป้องสาธารณประโยชน์เท่านั้น แต่ยังเป็น การละเมิดสิทธิของอีกฝ่ายโดยเจตนา
สิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยเท่ากับ สิทธิในการใส่ร้าย เพราะการกล่าวหาบุคคลหรือนิติบุคคลผ่านภาพที่ถูกตัดต่อ บิดเบือน หรือขาดบริบทที่แท้จริง คือพฤติกรรมที่ ผิดหลักนิติธรรม ผิดเจตนาแห่งรัฐธรรมนูญ และผิดความชอบธรรมพื้นฐานในสังคมประชาธิปไตย
ดังนั้น ใครก็ตามที่ถูกกล่าวโดยปราศจากหลักฐานที่ชัดเจนและถูกต้อง สามารถใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อดำเนินคดีต่อคู่กรณีว่าเป็นกรณีเผยแพร่ข้อมูลเท็จ จึงไม่ใช่การปิดปากความเห็น แต่เป็นการปกป้องชื่อเสียงจากการถูกบ่อนทำลายด้วยข้อมูลเท็จโดยเจตนา ซึ่งเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ในนิติรัฐ
สิ่งที่น่าห่วงยิ่งกว่าภาพที่ถูกบิดเบือน คือ การบิดเบือนนิยามของคำว่า “SLAPP” เพื่อให้ผู้กระทำผิดหลบเลี่ยงความรับผิดชอบและสร้างภาพลักษณ์ว่าตนเป็น “เหยื่อของทุนใหญ่”
หากสังคมปล่อยให้คำว่า “ฟ้องปิดปาก” ถูกใช้พร่ำเพรื่อ และกลายเป็นเกราะกำบังการใส่ร้ายโดยปราศจากหลักฐาน ความเที่ยงธรรมจะหายไปจากพื้นที่สาธารณะ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง
องค์กรใดๆ หรือผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการใช้ข้อมูลหรือภาพที่ได้รับมาจากบุคคลที่ 3 มีหน้าที่ต้องตรวจสอบอย่างรอบด้าน ก่อนเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ ไม่ใช่คัดบางส่วน ปรุงแต่งภาพให้ตรงวาระของตนเอง หรือเลือกใช้แหล่งอ้างอิงที่สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว เพราะเมื่อข้อมูลที่เผยแพร่ออกไปส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบุคคลหรือนิติบุคคล ต้องมีความรับผิดชอบทางกฎหมายและศีลธรรม
การกล่าวหาระบบตรวจสอบย้อนกลับหรือมาตรฐานสากลที่ได้การรับรอง และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ให้โอกาสชี้แจงหรือโต้แย้งก่อน ยิ่งตอกย้ำเจตนาอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่บริสุทธิ์ แต่ต้องการโจมตีและสร้างภาพจำผิดๆ ให้สังคม
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีปลาหมอคางดำมีสิทธิ์ 100% ในการฟ้องร้องปกป้องตนเองจากการความเสียหายที่สามารถพิสูจน์ทราบแล้ว หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกโจมตีด้วยข้อมูลบิดเบือน ซึ่งสังคมควรใช้โอกาสนี้ในการหันกลับมาตรวจสอบความรับผิดชอบของผู้ที่กล่าวหา เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม
ที่สุดแล้วเมื่อภาพปลอมแพร่เร็วกว่าเอกสารจริง หน้าที่ของสังคมไม่ใช่เลือกว่าใครพูดดังที่สุด — แต่ต้องดูว่า ใครพูด “จริง” ที่สุด
โดย : จงสถิตย์ หัตถ์ตราชู ที่ปรึกษากฎหมายอิสระ