นายกฯอิ๊งค์ บินสุรินทร์ ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ขอบคุณแม่ทัพภาค 2 ยกทหารคือรั้ว ช่วยกันรักษาอธิปไตย ขอฝ่ายความมั่นคงประสานด่านเปิด - ปิดเวลาตรงกัน เพื่อประโยชน์การค้าภูมิธรรมเมิน กัมพูชา ตั้งกรรมการร้องศาลโลก 4 พื้นที่ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา แย้มไทยมี มาตรการรับมือ แต่ขั้นตอนกฎหมายเผยไม่ได้
        

         เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.68 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ต.ร่อนทอง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ โดยมี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 มารอต้อนรับ ก่อนขึ้นเฮลิคอปเตอร์กองบินตำรวจเพื่อเดินทางต่อไปยัง จ.สุรินทร์ และทันทีที่เดินทางมาถึงได้มีนายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ รอให้การต้อนรับ และเดินทางต่อด้วยรถตู้เมอซิเดส เบนซ์ เลขทะเบียน นข 6689 สุรินทร์ มายังโรงพยาบาลกาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เพื่อเป็นประธานการประชุมติดตามการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และมาตรการสนับสนุนให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัด โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุมด้วย 
         
โดยทันทีที่เดินทางมาถึง ได้มีประชาชน ส่วนราชการ กลุ่มเยาวชน และ สส. ในพื้นที่ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยทั้ง 8 เขต มารอต้อนรับ 
       
  จากนั้น นายกรัฐมนตรี รับฟังรายงานจากผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ถึงสภาพลักษณะภูมิศาสตร์ของจังหวัด และสถานการณ์ชายแดน โดยจังหวัดสุรินทร์เป็นพื้นที่ติดต่อชายแดนติดต่อกับกัมพูชา 125 กิโลเมตร ประกอบไปด้วย 4 อำเภอ คือ บัวเชด สังขะ กาบเชิง และพนมดงรัก โดยมีด่านถาวร 1 แห่ง คือด่านช่องจอม และช่องทางธรรมชาติ 54 แห่ง
        
 ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ รายงานว่า ก่อนหน้านี้ด่านได้เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08:00 น. - 22:00 น. ภายหลังจากมีมาตรการควบคุมชายแดน จะเปลี่ยนเวลาเปิด - ปิด เป็นวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ เวลา 08:00 - 15:00 น. ซึ่งทางกัมพูชาก็มีการประกาศเลื่อนการเปิด - ปิดด่านเช่นกันโดยเปิดเวลา 09:00 น. และปิดเวลา 16:00 น. ซึ่งจะทำให้จะมีเวลาที่เปิด - ปิด ตรงกันเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น 
        
 ทำให้นายกรัฐมนตรี สอบถามว่า ในพื้นที่สามารถประสานได้หรือไม่ ให้เปิดเวลาตรงกัน ต้องให้ทางหน่วยงานความมั่นคงดูว่าเปิดให้เท่ากันได้หรือไม่ ด้านแม่ทัพภาคที่ 2 จึงกล่าวว่า หน่วยงานความมั่นคงจะลองประสานกับกองทัพฝ่ายกัมพูชาดู พร้อมยอมรับว่าอาจมีนัยยะบางอย่าง เหมือนมีลักษณะของการเมืองเล็กน้อย เพื่อชิงความได้เปรียบ และหลังจากนี้ ฝ่ายความมั่นคง ผู้ว่าฯ ในพื้นที่จะมีการหารือกันต่อไป
     
    นายกรัฐมนตรี จึงระบุต่อว่า ถ้าเรายึดถือผลประโยชน์ของประชาชน เปิด - ปิด ตรงกัน จะได้ค้าขายได้เท่ากัน อันนี้จะดีกว่า ขอให้ลองดู คงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีปัญหา
    
     นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัด 5 จังหวัด ได้รายงานความคืบหน้าสถานการณ์จริง บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และเมื่อสักครู่ได้มีการพูดถึงเรื่องหลุมหลบภัย ขอให้แจ้งมายังกระทรวงมหาดไทยว่าต้องการซ่อมแซมแบบไหน เพราะชีวิตเด็กๆนักเรียน ต้องให้ความรู้เมื่อไหร่ที่จะต้องใช้หลุมหลบภัย และอยากให้บรรจุอยู่ในการเรียนการสอนทุกปีไม่จำเป็นจะต้องเฉพาะในช่วงที่มีสถานการณ์ เพื่อให้เด็กเด็กทราบเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นว่าสถานการณ์ไหนควรใช้เมื่อไหร่
     
    นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ต้องขอขอบคุณแม่ทัพภาค 2 ที่อยู่หน้างานตลอด และทราบถึงแรงกดดันมากๆ เพราะตนเองได้ติดต่อกับกระทรวง กลาโหม และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงผู้นำฝ่ายกัมพูชาได้ทราบ และเห็นใจมากๆ ว่าอยู่หน้างานจริงไม่เหมือนกับตอนอยู่ข้างหลัง บางทีเกิดกระแสมากมาย คนหน้างานคือคนที่เห็นเหตุการณ์ และต้องปรับตามสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด ตนถึงได้พยายามเน้นเรื่องของสันติภาพ และความสงบสุข และได้ทราบข้อมูลจากทางหน้างานจึงไม่อยากให้เกิดกระแสตีว่าให้เกิดความรุนแรง ให้ลุยเพราะที่จริงแล้วต้องคิดถึงชีวิตของคนหน้างานว่ามีความกดดันสูงเมื่ออยู่ตรงนั้นเราเห็นอาวุธของกันและกัน เมื่อดูอาวุธดูความพร้อม หากต้องเกิดความไม่สงบจริงๆ หรือเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นจริง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็กแต่จะเป็นเรื่องใหญ่ตนเองพยายามที่จะสื่อสารเรื่องนี้ถึงความสงบสุข และเมื่อผู้นำคุยกันระหว่างนายกฯกัมพูชา ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ และล่าสุดที่คุยกันก็อยากให้ทั้งสองประเทศเกิดความสงบสุข และตนขอยืนยันเรื่องการรักษาอธิปไตยเอาไว้ 
      
   นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ที่ผ่านมาสำคัญไม่น้อยกว่ากระทรวงกลาโหมนั่นคือกระทรวงมหาดไทย เพราะมหาดไทยคือบ้าน ทหารคือรั้วต้องให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีมในการดูแลบ้าน ซึ่งแต่ละจังหวัดต้องทำงานร่วมกันประสานกันว่าเกิดเหตุการณ์ใดบ้างตามแนวชายแดน และในบ้านของเรามีที่ปลอดภัยพอหรือไม่ และมีของ หรือมีปัจจัย 4 พอหรือไม่สำหรับคนในบ้าน อันนี้คือเรื่องที่สำคัญดูเรื่องนี้เป็นสำคัญช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพราะเวลาเกิดเหตุการณ์ทำงานแบบบูรณาการก็จะเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้น 
       
  นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เรื่องความสงบได้พูดคุยกับนายภูมิธรรม และพลเอกณัฐพล  รมช.กลาโหม ซึ่งได้รายงานเสมอ ว่า มีกระบวนการ หรือข้อความแบบไหนที่ภายในคุยกันไว้แล้วยังไม่สามารถสื่อสารได้ เพราะการคุยกันระหว่างประเทศต้องเคารพกติกา และข้อตกลงระหว่างประเทศด้วย เช่น ระดับแม่ทัพคุยกัน ระดับทหารคุยกัน ระดับนายกรัฐมนตรีคุยกัน  ระดับรัฐมนตรีกลาโหมคุย คุยกันว่าอย่างไร เราต้องบอกกันตลอดเพื่อให้การสื่อสารตรงกัน และไม่เข้าใจผิดซึ่งกันและกันอันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเมื่อพูดกันไปมากๆ ทำให้เข้าใจผิดและเกิดเรื่องใหญ่พยายามจะทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุด พร้อมทั้งขอขอบคุณหน้างานที่เหนื่อยมากๆ ประสานงานกันจนประสบความสำเร็จขอบคุณกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย ที่ร่วมมือกันอย่างสุดความสามารถรักษาอธิปไตยของเราไว้ รักษาความสงบสุขของบ้านเราไว้ ขอชื่นชมทุกคน
      
   นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลให้การสนับสนุนประชาชนเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่และแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอะไรที่เกิดความเร่งด่วนจำเป็น ขอให้แต่ละกระทรวงรายงานตรงมายังกระทรวง เพราะทั้งสองรองนายกฯก็ติดต่อตรงกับตนเองอยู่แล้ว ยืนยันว่าพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยอยากให้ทำความเข้าใจกับประชาชนเยอะๆในพื้นที่ว่าทำอะไรอยู่บ้าง จะได้ให้ทุกคนเข้าใจตรงกันไม่เข้าใจผิด และไม่ให้ปล่อยเฟคนิวส์ อาจจะโดนไอโอบ้างอะไรบ้าง ไม่รู้มาจากไหน ก็มีการปล่อยข้อมูลที่เกิดความเข้าใจผิดกัน อันนี้จะทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคมได้ โดยทุกท่านที่มีตำแหน่งตรงนี้มีความน่าเชื่อถือที่สามารถติดต่อประชาชนได้สามารถบอกได้ว่าอะไรคือเรื่องจริง ไม่เป็นเรื่องจริง อะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริงก็ขอให้รีบแก้ไม่อยากให้ขยายความไปมากกว่านี้ ขอให้ทุกคนทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่เป็นทีมเดียวกัน ยังไงประเทศไทยเป็นของพวกเราทุกคน เราต้องรักษาไว้และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราอย่างเต็มที่รัฐบาลพร้อมซัพพอร์ตทุกหน่วย 
      
   จากนี้ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้นำหรือกองทัพเป้าหมายเดียวกันคือการรักษาสันติภาพเอา ไว้ส่วนเรื่องรายละเอียดก็ว่ากันไปตามหัวข้อแต่เรื่องที่จะดีลกันจะไม่เอามารวมกัน พูดคุยกันทีละข้อ เคลียร์กันแต่ละเรื่องไป นายกรัฐมนตรี ระบุ
       
  ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ทางกัมพูชาตั้งคณะกรรมการ จัดทำเอกสารเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลโลก เกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา 4 พื้นที่ ได้แก่ ช่องบก , ปราสาทตาเมือนธม , ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ว่า ไม่เป็นไร ต่างคนต่างทำหน้าที่ การจะฟ้องศาลโลกเป็นหน้าที่ของกัมพูชา ส่วนไทยเราก็มีมติไม่รับอำนาจขอบเขตศาลโลก ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ทุกอย่างให้ ว่า กันไปตามกระบวนการ
      
   เมื่อถามว่าดูเหมือนปัญหายังมีหลายจุด พูดคุยไม่จบจะมีปัญหาในการประชุม JBC หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวยอมรับว่าปัญหาคงไม่จบเสียทีเดียว ต้องใช้เวลาพูดคุยกันในส่วน ที่เห็นไม่ตรงกันแต่ในเวทีเจบีซี ที่เราได้พูดเราได้พูดชัดเจน แล้วว่าจะพูดเฉพาะในกรณีที่ เป็นปัญหาต้องเคลียร์กันเป็น ส่วน ๆไปและคิดว่าไม่น่าจะมี ปัญหาอะไรเพราะเป็นข้อตก ลงร่วมกัน
      
   เมื่อถามว่า จากท่าทีของกัมพูชาในตอนนี้ทำให้เราต้องคงมาตรการเปิด-ปิดด่านไปอีกนานเท่าไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า จากการสั่งการซึ่งผู้บัญชาการทหารบกและแม่ทัพภาคที่ 2 รับทราบตรงกันว่าเราจะ ยังคงดำเนินการตามมาตรการของแต่ละพื้นที่ ขณะนี้เรายังไม่ได้ยกระดับมาตรการ และย้ำว่าเราไม่ได้ปิดด่าน แต่เปิด-ปิดตามเวลาและจำกัดคน ส่วนที่มีการเผชิญหน้าเราก็ได้มีการปรับกำลัง ขณะที่พื้นที่อื่นยังคงมาตรการเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆดีขึ้น เพราะเราได้ให้ทหารทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกันในพื้นที่มากขึ้นอีกทั้งมีข้อเสนอให้จัดกิจกรรมร่วมกัน ลาดตระเวนด้วยการคิดว่าบรรยากาศโดยรวมน่าจะดีขึ้น
     
    เมื่อถามว่ากรณีที่กัมพูชา จะนำเรื่องร้องต่อศาลโลกจะเข้าข่ายลักษณะเดียวกับกรณีเขาพระวิหารก่อนหน้านี้หรือไม่ ฝ่ายความมั่นคงได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบอย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า เขาพระวิหารเป็นอีกเรื่องไม่เกี่ยวกับกรณีนี้ แต่อาจจะเป็นบทเรียนบางส่วนได้ ซึ่งเราจะไม่นำเรื่องนั้นมาพูดถึง แต่ไม่ สามารถเปิดเผยได้
       
  ส่วนข้อเสนอของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่อยากให้เปลี่ยนหัวหน้าคณะเจรจาพูดคุยกับทางกัมพูชาเนื่องจากเป็นคนเดียวกับที่คุยสมัยเขาพระวิหารนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า คนที่อยู่กับปัญหา และอยู่กับพื้นที่น่าจะรู้ดีที่สุดว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ก็ต้องให้ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพิจารณารัฐบาลจะรับฟัง ข้อเท็จจริงและเหตุผล เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าพึงใจหรือว่าใครชอบใคร ใครอยากได้ใคร เป็นเรื่องที่ว่าประเทศชาติมีปัญหาอยู่ตรงไหน ขอให้นึกถึงผลประโยชน์ตรงนี้เยอะๆ
    
     เมื่อถามว่าการที่กัมพูชาฟ้องศาลฝ่ายเดียวจะมีผลอะไรกับไทยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้พูดยาก คนฟ้องก็ฟ้องไป คนที่ไม่ยอมรับก็ไม่ไปเข้าสู่กระบวนการ แต่หากมีเงื่อนไขอื่นก็เป็นเงื่อนไขทาง กฎหมาย แต่ไม่อยากจะพูดตรงนี้ เรื่องของกฎหมายให้กรมสนธิสัญญาต่างประเทศเป็นฝ่ายพูดจะดีกว่า แต่เราได้เตรียมความพร้อมและแนวทางในเรื่องนี้ไว้แล้ว เพราะประเทศวิกฤต แบบนี้ไม่เตรียมได้อย่างไร ส่วนจะเตรียมไว้อย่างไรขอให้ฟังการชี้แจงเป็นระยะ