เงินอาจไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต แต่เป็นสาเหตุหลักของความขัดแย้งในครอบครัวที่หลายคู่ต้องเผชิญ เมื่อเส้นทางชีวิตคู่เริ่มต้นขึ้น หลายครอบครัวพบว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างในการใช้จ่ายเงินกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่คุกรุ่น ฝ่ายหนึ่งอาจมองว่า อีกฝ่ายใช้เงินฟุ่มเฟือย ขณะที่อีกฝ่ายรู้สึกว่า ถูกควบคุมเรื่องการเงินมากเกินไป ส่งผลให้เกิดความเครียด และความไม่เข้าใจกันในท้ายที่สุด เราเข้าใจปัญหานี้ดี จึงรวบรวมเทคนิควางแผนการเงินครอบครัวแบบง่าย ๆ ที่ช่วยลดความกังวลเรื่องเงิน สร้างความเท่าเทียม และทำให้ชีวิตคู่ของคุณมีความสุขมากขึ้น

สิ่งที่ควรทำก่อนวางแผนการเงินครอบครัว

ก่อนจะเริ่มวางแผนการเงินครอบครัว คู่สามีภรรยาควรพูดคุยกันอย่างเปิดใจเกี่ยวกับสถานภาพทางการเงินในปัจจุบันของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เห็นภาพรวมทางการเงินที่ชัดเจน และสามารถวางแผนได้อย่างเหมาะสม โดยข้อมูลที่ควรเปิดเผยต่อกัน ได้แก่ รายได้ต่อเดือน ค่าใช้จ่ายรายเดือน และภาระหนี้สินที่มีอยู่

การพูดคุยอย่างเปิดใจนี้ จะช่วยให้ทั้งคู่สามารถวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงินได้อย่างถูกต้อง และนำไปสู่การตัดสินใจว่า จะบริหารเงินในครอบครัวอย่างไร หลายครอบครัวมักถกเถียงกันว่า ควรใช้กระเป๋าเดียวกัน (รวมเงินทั้งหมด) หรือแยกกระเป๋ากัน (ต่างคนต่างจ่าย) แต่จากประสบการณ์ของคู่สมัยใหม่ที่ต่างฝ่ายต่างทำงาน และมีรายได้ พบว่าวิธีที่ลงตัวมากที่สุดคือ “แยกกระเป๋ากันใช้จ่าย แต่แบ่งเงินบางส่วนไว้เป็นเงินกองกลาง” ซึ่งช่วยป้องกันปัญหาการเงินในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ !

แบ่งเงิน 4 บัญชี เทคนิควางแผนการเงินครอบครัวง่าย ๆ

การวางแผนการเงินครอบครัวให้มีประสิทธิภาพนั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการแบ่งเงินออกเป็น 4 บัญชีหลัก เพื่อให้สามารถจัดสรรเงินได้อย่างเป็นระบบ และตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน วิธีนี้ช่วยให้ทั้งคู่เห็นภาพรวมทางการเงินได้ชัดเจน และยังช่วยลดความขัดแย้งเรื่องการใช้จ่ายได้อีกด้วย มาดูกันว่าควรแบ่งบัญชีอย่างไรบ้าง

1. บัญชีกลางสำหรับค่าใช้จ่ายประจำ

บัญชีนี้เปรียบเสมือนกองกลางของครอบครัวที่ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่แน่นอนในแต่ละเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต และค่าใช้จ่ายส่วนกลางอื่น ๆ ที่ทั้งคู่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน วิธีการที่แนะนำคือ ให้ทั้งสองฝ่ายนำเงินประมาณ 40-50% ของรายได้เข้าบัญชีนี้ในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน ซึ่งจะช่วยสร้างความรู้สึกเท่าเทียม และไม่มีใครรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ

การมีบัญชีกลางช่วยให้การวางแผนการเงินครอบครัวเป็นไปอย่างมีระบบ เพราะทั้งคู่จะรู้ว่าต้องเตรียมเงินจำนวนเท่าไรในแต่ละเดือนสำหรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ส่วนเงินที่เหลือก็สามารถเก็บไว้ใช้ส่วนตัวได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะกระทบกับค่าใช้จ่ายจำเป็นของครอบครัว

2. บัญชีเงินออม และเงินสำรองยามฉุกเฉิน

เงินออม และเงินสำรองฉุกเฉิน ถือเป็นหลักประกันสำคัญของครอบครัว ที่จะช่วยให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การเจ็บป่วยกะทันหัน อุบัติเหตุ หรือการตกงาน บัญชีนี้ควรเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่สามารถเบิกถอนได้สะดวกเมื่อจำเป็น แต่ก็ไม่ควรถอนบ่อยจนเกินไป

ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนครอบครัวแนะนำให้มีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 3 - 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน หากยังไม่มีเหตุฉุกเฉินใด ๆ เงินส่วนนี้ก็สามารถกลายเป็นเงินออมเพื่อเป้าหมายในอนาคตได้ หรืออาจนำไปต่อยอดให้งอกเงยผ่านการฝากประจำ หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนที่แน่นอน

3. บัญชีกองทุนเงินสะสม

นอกจากเงินออม และเงินสำรองฉุกเฉินแล้ว ครอบครัวยังควรมีเงินสะสมระยะยาวที่ไม่นำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่เก็บไว้เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต โดยเฉพาะหลังเกษียณ บัญชีนี้ควรเน้นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เช่น ตราสารหนี้ กองทุนรวม หรือหุ้น

ทริคง่าย ๆ ในการจัดสรรเงินเข้าบัญชีนี้คือ การหักจากรายได้อย่างน้อย 10% ทันทีที่ได้รับเงินเดือน ก่อนที่จะนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้จ่ายด้านอื่น ๆ วิธีนี้จะช่วยสร้างวินัยในการออม และทำให้เงินสะสมเติบโตอย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นก้อนใหญ่ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวในระยะยาว

4. บัญชีสำหรับลูก

สำหรับคู่สามีภรรยาที่วางแผนจะมีลูก หรือมีลูกแล้ว การมีบัญชีเงินฝากสำหรับลูกโดยเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยแก้ปัญหาการเงินในครอบครัวในระยะยาว โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี

คู่สามีภรรยาควรเริ่มออมเงินในบัญชีนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แม้จะยังไม่มีลูกก็ตาม เพื่อให้มีเวลาในการสะสมเงินก้อนใหญ่ไว้รองรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของลูกในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ค่าคลอด ค่าเลี้ยงดู และค่าการศึกษา อาจเลือกเก็บออมในรูปแบบของบัญชีเงินฝากประจำ หรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จะได้ไม่ต้องกังวลว่า จะมีเงินเพียงพอสำหรับดูแลลูกน้อยอย่างเต็มที่หรือไม่

สรุปบทความ

การวางแผนการเงินครอบครัวอย่างเป็นระบบด้วยการแบ่งเงินออกเป็น 4 บัญชีหลัก เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน และลดความขัดแย้งในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีการแยกกระเป๋ากันใช้จ่าย แต่แบ่งเงินบางส่วนไว้เป็นเงินกองกลาง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคู่สมัยใหม่ที่ต่างฝ่ายต่างทำงาน และมีรายได้ เพราะช่วยสร้างความเท่าเทียมกัน โดยไม่มีใครเป็นผู้ควบคุม หรือถูกจำกัดทางการเงินเพียงฝ่ายเดียว ช่วยลดความขัดแย้งจากความชอบ และนิสัยการใช้จ่ายที่แตกต่างกัน แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายร่วมกัน และสร้างวินัยด้านการใช้จ่ายในครอบครัว เพียงแค่มีความขยัน และมีวินัยในการออม พร้อมวางแผนทางการเงินที่ดี ก็จะเป็นเกราะป้องกันปัญหาทางการเงิน ทำให้ชีวิตคู่มีความสุข และมั่นคงยิ่งขึ้นในอนาคต