วันที่ 6 มิ.ย.68 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง และการต่างประเทศ โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊ก Panitan Wattanayagorn พร้อมระบุข้อความว่า...

JBC GBC RBC ไม่ใช่คำตอบสำหรับกัมพูชาและไทย: แล้วอะไรจะช่วยให้ไม่ต้องรบกันอีก

1. 30 ปีนับตั้งแต่ปี 2538 ไทยและกัมพูชาพยายามแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยกลไลคณะกรรมการต่าง ๆ หลายประเภท เช่น GBC RBC JBC (ตั้งในปี 2540) และอื่น ๆ แต่ก็ล้มลุกคลุกคลานกันมาโดยตลอด

มีการใช้กำลังปะทะกันตามแนวชายแดนหลายครั้ง ตายกันหลายร้อยศพ มีการปิดด่านหรือจุดผ่านแดนหลายแห่ง มีการเผาสถานทูตไทย ตัดความสัมพันธ์กันหรือลดระดับทางการทูตด้วยกันหลายครั้ง กล่าวคือในรอบ 75 ปีของความสัมพันธ์ที่เป็นทางการระหว่างไทยกับกัมพูชานี้ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ และปะทุเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาเป็นระยะ ๆ เสมอ

2. ในปี 2543 มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU 43) เพื่อกระชับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกให้ชัดเจนขึ้น ที่สำคัญได้กำหนดให้ทั้งสองฝ่าย - งดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน (ข้อที่ 5)

3. แต่ได้มีการละเมิด MOU 43 ข้อที่ 5 นับร้อย ๆครั้งในพื้นที่ต่าง ๆ เกือบ 40 แห่ง (อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 เกือบ 10 แห่ง กองทัพภาคที่ 2 เกือบ 20 แห่ง) และหลายจุดก็เชื่อกันว่ากัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยและทำให้ไทยหมิ่นเหม่ต่อการเสียอธิปไตยในอนาคต

4. การประชุมคณะกรรมการ JBC ที่นำโดยกระทรวงการต่างประเทศที่แถลงว่าพร้อมแล้วในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ก็เป็นเรื่องที่ดีและควรจะทำกันบ่อยครั้งด้วยซ้ำ ก่อนที่จะเกิดปัญหาการปะทะกันอีกเช่นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ JBC ก็ไม่ใช่คำตอบแล้ว อีกทั้งโครงสร้างของ JBC ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ระงับยับยั้งการเผชิญหน้าทางการทหารเช่นนี้ โดยเฉพาะที่ว่าใครส่งกำลังเข้ามาละเมิด MOU 43 ที่ไหนและอย่างไร (GBC และ RBC ที่นำโดยกระทรวงกลาโหมและฝ่ายทหาร จะมีข้อมูลพิกัดการบุกรุกหรือละเมิดที่ชัดเจนกว่า และน่าจะมีความลับทางการทหารการเมืองหลายอย่างที่ไม่เป็นคุณกับกัมพูชาในเวทีนานาชาติถ้าเราเปิดเผย)

กัมพูชาก็คงรู้แกวล่วงหน้า จึงได้รีบปฏิเสธไม่ยอมที่จะคุยเรื่องพื้นที่ที่ตนบุกรุกในเวที JBC วันที่ 14 มิ.ย.นี้ และอ้างว่าจะไปคุยกันที่ศาลโลก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ไทยไม่รับอำนาจศาลโลก และถึงจะไทยจะกลับจุดยืนไปศาลโลก ศาลก็ไม่มีอำนาจชี้เฉพาะว่า ที่ตรงไหนเป็นของใคร และก็น่าจะบอกว่าให้กัมพูชาว่าให้กลับไปจัดทำหลักเขตแดนกับไทยเอง เหมือนกับคำพิพากษาของศาลในครั้งก่อนในกรณีปราสาทพระวิหาร

5. ดังนั้น ในการประชุม JBC วันที่ 14 มิ.ย. ก็ดี ในการเดินทางไปพบฝ่ายกัมพูชาเมื่อวานนี้ของรองนรม./รมว.ก็กห.ของไทยเมื่อวานนี้ ก็ดี ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าโน้มน้าวให้กัมพูชากลับเข้ามาอยู่ในกรอบการแก้ไขปัญหาของคณะกรรมการต่าง ๆ และอยู่กับร่องกับรอย รักษากติกาและข้อตกลงต่าง ๆ ที่ได้ตกลงไว้แล้วกับไทย

รวมทั้งสร้างแรงจูงใจใหม่ ๆ ให้กัมพูชาสนใจที่จะแก้ปัญหากับไทยด้วยสันติวิธี ไม่ไปชักจูงให้นานาชาติมาล้อมกรอบไทยหรือช่วยเหลือหนุนหลังอยู่อย่างที่ทำทุกวันนี้

6. การสร้างแรงจูงใจให้กัมพูชา มีทั้งในด้านบวก (carrot - ขนมหวาน) และด้านลบ (stick - ไม้เรียว) และก็ต้องควบคู่กันไปอย่างสมดุล

เช่น สร้างกระแสความรักชาติ สนับสนุนทหาร ระดมพลประชิดชายแดน ซ้อมรบ และแสวงหาพันธมิตรเพื่อขอสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่และกระสุนสำรองที่เราอาจจะมีไม่เพียงพอ (แต่ก็ต้องบอกด้วยว่าถ้าจำเป็นต้องรบกัน ทั้งสองฝ่ายจะสูญเสียกันมากเท่าไร และทำไมจะมากกว่าในปี 2554)

รวมทั้งการปิดด่านหรือจุดผ่านแดน (จุดผ่อนปรนหลายจุดนั้น กัมพูชาต้องพึ่งพาไทยมากกว่ามาก แต่ก็ต้องช่วยรองรับผลกระทบที่จะตามมาต่อภาคเอกชนและประชาชน) และต้องควบคุมกิจกรรมข้ามชาติข้ามพรมแดนที่ผิดกฏหมายต่าง ๆ และลดทอนกิจกรรมทางอ้อมอื่น ๆ ที่สนับสนุนส่งเสริมให้กัมพูชามีความได้เปรียบไทยในหลาย ๆ ด้านด้วย

ขณะเดียวกัน ก็ต้องสร้างแรงกดดันหรือแรงจูงใจที่กลาง ๆ หรือเป็นบวก เช่น เร่งประชุมสภาสมช. (สภาสงครามเดิม ที่ล้นเกล้าร.6 ออกแบบให้เรานำมาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้) เพื่อกำหนดนโยบายให้ชัดเจนและตั้งคณะพิเศษ (Special Task Forces) เพื่อกำกับการปฎิบัติของทุกหน่วย (คณะทปษ.ด้านความมั่นคงเคยเสนอให้สมช.ผ่านนรม.ในสมัยหนึ่งมาแล้ว)

รวมทั้งเสนอกรอบใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา เช่น Special HLC (คณะกรรมการชุดเล็กระดับสูงสุดของฝ่ายการเมือง - การทหาร - การต่างประเทศ) รวมกันทั้งสองประเทศ หรือยกเลิก/แก้ไขปรับปรุง MOU 43 หรือเสนอจัดตั้ง Special JD (เขตพัฒนาพื้นที่ทางเศรษฐกิจพิเศษด้านพลังงานในทะเล) หรืออื่น ๆ เป็นต้น

7. ที่สำคัญ ไทยเราอย่าหลงทางกัมพูชา อย่าแพ้เหลี่ยมของคนไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง และผู้นำไทยในทุกภาคส่วน ต้องทั้งนุ่มนวลรักสันติ (ดีอยู่แล้ว) แต่จะต้องเข้มแข็ง รวดเร็วและชัดเจน ไม่นุ่มนิ่มยวบยาบหรือชักช้าในยามที่บ้านเมืองกำลังเข้าสู่สภาวะที่ล่อแหลมเช่นนี้

ขอให้พระคุ้มครองประเทศไทยครับ