ทรูชูประเด็นใหม่คัดค้านหมอประวิทย์ หนึ่งในอนุที่ปรึกษากฎหมายฐานพฤติกรรมไม่เป็นกลางต้านควบรวม
คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช. ซึ่งมีอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและอดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ศ.พิเศษ จรัญ ภักดีธนากุลเป็นประธานมีกำหนดจะประชุมกันอีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคมนี้ เพื่อหาข้อสรุปว่า ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ จะสามารถเข้าร่วมพิจารณาในวาระเกี่ยวกับ บริษัทในเครือทรู ได้หรือไม่ หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญาในข้อหาประพฤติมิชอบจากการฟ้องของบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการกล่องโทรทัศน์อินเทอร์เน็ต และแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี กล่าวหาว่า กสทช.พิรงรอง กลั่นแกล้งตน จากการออกหนังสือของสำนักงาน กสทช. ถึงผู้รับใบอนุญาตโทรทัศน์ 127 รายซึ่งระบุถึงบริการของทรูไอดีว่ายังไม่ได้เป็นผู้รับใบอนุญาตจาก กสทช.
หลังมีคำพิพากษา ทุกครั้งที่มีการประชุมและมีวาระเกี่ยวกับบริษัทในเครือทรูในการพิจารณา ทางประธานกสทช. ศ.คลินิก นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ จะทักท้วงว่า กสทช. พิรงรองไม่ควรร่วมประชุมเพราะเป็นคู่กรณีกัน แม้ทางบริษัททรูฯ จะยังไม่ได้ทำหนังสือเข้ามาคัดค้านก็ตาม ทางที่ประชุมกสทช.จึงมีมติให้นำประเด็นดังกล่าวเข้าไปหารือในคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช.
คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์สูงมาก ทั้งราชบัณฑิต อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีศาล อัยการสูงสุด อดีตเจ้ากรมพระธรรมนูญ และศาสตราจารย์ทางกฎหมายซึ่งต่างก็เป็นตัวแทนของกรรมการกสทช.รวม 14 คน
ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ทรูต้องร้องคัดค้าน กสทช.พิรงรอง เป็นรายกรณี ไม่ใช่ร้องเหมารวม และบริษัทที่จะร้องคัดค้านต้องเป็นคู่กรณี คือบริษัททรู ดิจิทัล แต่บริษัทในเครือทรู อย่าง ทรูมูฟ เอช และทรู คอร์ปอเรชั่น ไม่ใช่คู่กรณี เพราะเป็นคนละนิติบุคคล
แต่มีเสียงข้างน้อยซึ่งเป็นตัวแทนจากประธานกสทช. เห็นว่า จำเป็นต้องมีการวินิจฉัยตามกระบวนการของพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กล่าวคือ การจะพิจารณาว่ากสทช. พิรงรอง มีสภาวะความไม่เป็นกลางอย่างร้ายแรงหรือไม่ ต้องให้กสทช. พิรงรองชี้แจงตนเองและออกจากห้องประชุมไป และให้กรรมการที่เหลือในที่ประชุมลงมติลับ หากมีเสียง 2 ใน 3 ที่เห็นว่าไม่มีสภาพดังกล่าว กสทช. พิรงรอง ก็จะสามารถกลับเข้ามาทำหน้าที่ได้ต่อไปในการประชุม หากเสียงไม่ถึง ก็ไม่สามารถมาร่วมพิจารณาและลงมติได้ ซึ่งจากการแบ่งขั้วของกรรมการ กสทช..ในปัจจุบัน ก็น่าจะไม่สามารถได้เสียงถึง 2 ใน 3
นอกจากนี้ ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 แหล่งข่าวได้รับรายงานว่า มีการยื่นหนังสือถึงประธานอนุที่ปรึกษา กฎหมายของ กสทช. คือ ศ. พิเศษ จรัญ เพื่อ คัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของนายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ว่ามีพฤติกรรมและพฤติการณ์ที่ไม่เป็นกลางโดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการทรู – ดีแทค โดยกล่าวหาว่า นพ. ประวิทย์ มีจุดยืนที่คัดค้านการควบรวมธุรกิจอย่างชัดเจน อนึ่ง นพ. ประวิทย์ เป็น อดีต กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค และเป็นผู้ที่มีผลงานด้านนี้มาอย่างเข้มข้นตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง
หากที่ประชุมเห็นว่า การคัดค้านดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องใช้กระบวนการเดียวกันกับ กสทช.พิรงรอง ว่า นายแพทย์ประวิทย์ จะสามารถเข้าร่วมการประชุมอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายในวาระเรื่องความไม่เป็นกลางของ กสทช.พิรงรอง ได้หรือไม่ แต่ตาม พรบ. วิธีปฏิบัติราชการปกครอง พ.ศ. 2539 ผู้ที่จะถูกคัดค้านเป็นคู่กรณีได้จะต้องเป็นผู้ใช้อำนาจทางปกครองเท่านั้น ซึ่งคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ กสทช.เป็นเพียงคณะที่ทำหน้าที่กลั่นกรองและให้คำปรึกษาทางกฎหมาย ไม่ได้ใช้อำนาจทางปกครองใดๆ
จึงเป็นที่น่าจับตาดูว่าผู้เชี่ยวชาญในคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะมีการพิจารณาไปนทิศทางใด