ดีเอสไอนัดสอบตัวแทนอิตาเลียนไทยฯ ปมร่วมกิจการกับบริษัทจีนผิดกฎหมาย หลังจับ 4 ผู้ต้องหา ย้ำพบเอกสารก่อสร้างกว่า 100 ลัง รอเปิดตรวจสอบร่วมกัน ด้าน “จนท.-กู้ภัย” ลุยค้นซากตึก สตง.พบร่างมนุษย์สภาพสมบูรณ์ 1 ร่าง และชิ้นส่วนมนุษย์เล็กๆมีอีก 5 ชิ้น ในโซน B
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ที่กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (กองคดีฮั้วประมูล) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ผู้อำนวยการกองคดีฮั้วประมูล นัดสอบปากคำพยานสำคัญจากบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กรณีร่วมกิจการกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ในโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
ทั้งนี้การสอบสวนมีขึ้นหลังจากเมื่อเร็ว ๆ นี้ ดีเอสไอควบคุมตัวนายชวนหลิง จาง (Mr. Chuanling Zhang) ชาวจีน กรรมการบริษัทไชน่า เรลเวย์ฯ ตามหมายจับศาลอาญา ฐานเป็นคนต่างด้าวประกอบธุรกิจต้องห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ขณะเดียวกัน กรรมการไทยอีก 3 ราย ได้แก่ นายประจวบ ศิริเขตร, นายมานัส ศรีอนันท์ และนายโสภณ มีชัย ต่างเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนในข้อหาเดียวกัน และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขของศาล
ล่าสุด นายเกรียงศักดิ์ กอวัฒนา รองประธานบริหารอาวุโสบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ได้เดินทางมาให้ปากคำต่อดีเอสไอ พร้อมแฟ้มเอกสารประกอบการชี้แจง โดยยอมรับก่อนเข้าห้องสอบสวนว่า "รู้อยู่แล้วว่าบริษัทไชน่า เรลเวย์ฯ เป็นบริษัทสัญชาติจีน" และพร้อมให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา
นอกจากนี้ ดีเอสไอยังเปิดเผยว่า ภายในห้องอบรมความเชี่ยวชาญของดีเอสไอ ได้มีการนำกล่องเอกสารกว่า 100 ลัง ซึ่งตรวจยึดจากไซต์ก่อสร้างตึก สตง. มาจัดเก็บเพื่อเตรียมเปิดตรวจสอบ โดยเอกสารดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ควบคุมงาน และการเบิกจ่ายเงินทั้งหมด
พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ระบุว่า วันนี้มีการนัดสอบพยานแยกเป็น 2 ส่วน คือ การสอบปากคำตัวแทนบริษัทอิตาเลียนไทยฯ และวิศวกรที่เกี่ยวข้อง 10 ราย ขณะเดียวกันมีรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบสวนเชิงลึกพบว่า อิตาเลียนไทยฯ และไชน่า เรลเวย์ฯ เคยมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจมาก่อนในโครงการก่อสร้างสถานที่ราชการแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่า การร่วมกิจการในโครงการตึก สตง. อาจมีเบื้องหลังที่ลึกซึ้งกว่าที่ปรากฏ
“ยืนยันจะเร่งสรุปผลสอบสวน เพื่อดำเนินคดีอย่างโปร่งใส และจะตรวจสอบความเชื่อมโยงอื่น ๆ เพิ่มเติม หากพบการกระทำผิดเพิ่มเติม จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด”
ที่บริเวณกองอำนวยการร่วม สน.บางซื่อ ห้างสรรพสินค้า เจเจมอลล์ นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยความคืบหน้าในการรื้อถอนซากอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เเห่งใหม่ถล่ม ซึ่งครบกำหนดเวลา 1 เดือน ในวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า วันนี้ ความ คืบหน้าหลังจากที่วานนี้ (28 เมษายน) ในช่วง 20.00 น. ถึง 22.00 น. พบเคสใหญ่อยู่ 3 เคสโดยเป็นร่างร่างมนุษย์สภาพสมบูรณ์ 1 ร่าง แลยังพบชิ้นส่วนมนุษย์เล็กๆมีอีก 5 ชิ้น ในโซน B ตามบริเวณช่องบันได
“ตอนนี้การดำเนินการด้านหน้าในโซน A และD มีการเจาะถึงพื้นชั้นหนึ่งแล้วบางส่วน ซึ่งบางส่วนก็มีการเจาะไปถึงชั้นใต้ดินบ้างแล้ว ในส่วนของโซนBและC ที่ติดกับอาคารจอดรถด้านหลังที่พบว่ามีเหล็กค่อนข้างเยอะ ซึ่งวานนี้ได้มีการระดมทีมตัดแก๊ส และวันนี้มีแผนงานที่จะดำเนินการในการขนย้ายเหล็กเหล่านนี้โดยเฉพาะในบริเวณโซน C3 ดล C2 เพื่อที่จะเปิดไปถึงจุดที่เราคาดว่าจะพบร่างของผู้ประสบภัยที่พยายามที่จะหลบหนีออกจากอาคารมาตรงทางเชื่อมนั้น”
นายสุริยชัย กล่าวต่อว่า อีกส่วนหนึ่งคือโซน B2 เราพบแผ่นพื้นปูนที่มีสภาพสมบูรณ์ตกมาเรียงกันประมาณ 4 ถึง 5 ชั้น ซึ่งความแข็งของตัวคอนกรีตอละเหล็กในนั้นอาจจะทำงานในการเจาะได้ค่อนข้างลำบาก ซึ่งที่ต้องดำเนินการในจุดนั้นก่อนเพราะว่าแผ่นพื้นปูนขวางอยู่ที่บริเวณหน้าบันไดหนีไฟ ซึ่งมีดารวางแผนในการนำเครื่องจักรหนักเข้าดำเนินการ โดยเมื่อช่วงเช้ามีการเร่งรัดในการนำรถหัวเจาะกระแทก 2 เครื่องเข้าดำเนินการในส่วนนี้โดยใช้รถหัวเจาะกระแทกในการเซาะแผ่นปูน ออกเป็นชิ้นและจะใช้เครื่องจักรหนักอื่นที่กำลังมากในการยกออก จะทำให้การดำเนินการเร็วขึ้นกว่าการเจาะแผ่นปูนออกให้เป็นเศษ หากใน ช่วงกลางวันนี้สามารถเปิดจุดนี้ได้นั้นในตอนกลางคืนคาดว่าจะลงไปยังบริเวณบรรไดหนีไฟในโซน B2 มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเอาตามเป้าที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่าไว้รือ เสร็จสิ้นภารกิจภายในหนึ่งสัปดาห์นี้ทันหรือไม่ นายสุริยชัย กว่าว่าก็อยากให้เร็วที่สุด ส่วนกำลังความพร้อมของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหลังผ่านมา 1 เดือนนั้น ตนได้มีการผู้คุยแล้ว ว่าแม้แต่วันเเรงงานที่จะถึงนี้(1 พฤษภาคม) พวกเขาก็ยังยืนยันที่จะทำงานต่อเพราะขวัญกำลังใจเกิน 100 %