PI Daily ยังไร้ปัจจัยหนุนและราคาทองคำที่ปรับขึ้นเมื่อคืนสะท้อนว่าความเสี่ยงยังไม่จางหายไป ส่วนการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯถูกเลื่อนออกไป ยังระมัดระวังการปรับฐานของตลาด
วันที่ 22 เมษายน 2568 บล.พาย เผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 971 จุด (-2.48%) หลังจากทรัมป์เดินหน้าโจมตีประธาน FED ทำให้นักลงทุนกังวลกับความเป็นอิสระของ FED ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 2.5% หลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าการเจรจาโครงการนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านมีความคืบหน้า
ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังคงปรับลงต่อเนื่องนักลงทุนกังวลทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศรวมไปถึงการแทรกแซงธนาคารกลาง ซึ่งประธาน FED บางท่านได้ออกมาให้ข้อมูลว่าการไม่ให้อิสระต่อธนาคารกลางมักนำมาซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เศรษฐกิจเติบโตช้าลงและตลาดแรงงานอ่อนตัวลง ซึ่งตนก็ได้คาดหวังว่าธนาคารกลางจะไม่ถูกแทรกแซง
ขณะเดียวกันเรื่องของสงครามการค้านั้นจีนก็ได้ระบุว่าหากประเทศใดทำข้อตกลงกับสหรัฐฯแล้วสร้างความเสียหายกับผลประโยชน์ของจีนก็พร้อมจะดำเนินมาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาด หากไปดูการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ต่างๆในเมื่อคืนที่ผ่านมาก็จะพบว่านักลงทุนมีความกังวลชัดเจน สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปีปรับลงสวนทางกับ 10 ปีที่ปรับขึ้น ราคาทองคำที่ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง พร้อมกับ Dollar Index ที่อ่อนค่ารุนแรงทำสถิติต่ำสุดในรอบ 3 ปี บ่งชี้ว่านักลงทุนไม่เอาสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ หากภาวะเช่นนี้ยังดำเนินต่อไปก็เชื่อว่าตลาดหุ้นยังมิสามารถปรับขึ้นได้หรือปรับขึ้นก็จะมี Upside ที่จำกัด
สำหรับประเทศไทยวานนี้มีรายงานออกมาว่าการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯถูกเลื่อนออกไปจาก 23 เม.ย. และยังไม่มีกำหนดชัดเจนว่าจะเจรจาเมื่อใด มองเป็นปัจจัยสร้างแรงกดดันต่อหุ้นในกลุ่มส่งออกและนิคมอุตสาหกรรมในระยะสั้น และหากท้ายที่สุดแล้วไทยยังโดนภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นรับผลกระทบ ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนนั้นประเมินเป็นกลางต่อดัชนีเพราะมีหุ้นที่ผลประกอบการดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ (KBANK SCB BBL) แต่ก็มีบางตัวต่ำกว่าคาดการณ์ (KKP)
อย่างไรก็ตามในรายละเอียดภาพรวมพบว่าไม่สดใสเท่าใดนัก จากการประชุม KBANK พบว่าปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเหลือขยายตัวเพียง 1.4% จาก 2.4% เพราะความไม่แน่นอนเรื่องภาษีและผลกระทบแผ่นดินไหว พร้อมกับเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง 2 ครั้งในปีนี้ บ่งชี้ถึงทิศทางเศรษฐกิจระยะถัดไปที่มีความน่ากังวลประกอบกับเป็นไปได้ที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะต่ำกว่าเป้าหมายนำมาซึ่งการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน คืนนี้ ไม่มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม
วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1100 – 1140 ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนดัชนีฟื้นจากจุดต่ำสุดขึ้นมา 7% สะท้อนข่าวดีจากการผ่อนคลายการค้าไประดับนึงแล้ว มองเป็นจังหวะลดพอร์ตเพราะระยะถัดไปมีความเสี่ยงจากการปรับลดกำไร เศรษฐกิจ และการค้าโลกก็ยังไม่นิ่ง โดยนักลงทุนระยะกลาง - ยาว อาจรอจังหวะปรับฐานและเข้าสะสม เน้นที่หุ้นใหญ่เป็นหลัก อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL) การเงิน (MTC SAWAD) โรงแรม (CENTEL MINT) โรงพยาบาล (BDMS)
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท)
รายได้โรงพยาบาล BDMS มีสัดส่วนจากประกันที่เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 37% (+1 ppts YoY) ของรายได้ในปี 2024 ทั้งนี้ประเด็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายประกันร่วมจ่าย (Co-pay) จะยังไม่มีผลกระทบต่อผลประกอบการในปี 2025 เนื่องจากตามนโยบายจะมีผลบังคับร่วมจ่ายเมื่อมีประวัติยอดเบิกค่ารักษาที่สูงเกินความจำเป็นปีต่อปี โดยหากกระทบก็ประเมิณว่าจะอยู่ในวงที่จำกัด โดยทางผู้บริหารคาดมีโอกาสกระทบรายได้ในปี 2026 เพียง 1-2%
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks
#ราคาทองรูปพรรณ #ภาษีทรัมป์ #ข่าววันนี้ #SET #สงครามการค้า #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์