“นายกฯอิ๊งค์” ประกาศลั่น ขอดูแลปชช.ทั้งประเทศให้ดีที่สุด ส่วน “โพล”ชี้ประชาชนไม่ค่อยพอใจผลงาน 6เดือน รัฐบาลอิ๊งค์ ขณะที่ “สวนดุสิตโพล”เช็คเรตติ้ง! กาง 25 ดัชนีชี้วัด “การเมือง” เผยผลงาน “ฝ่ายค้าน” ขยับ “ฝ่ายรัฐบาล” ร่วง ส่วน“เลขาสภาฯ” เผย “วันนอร์” บรรจุญัตติซักฟอกแล้ว ชี้อภิปรายคนนอกเป็นดุลยพินิจของ “ปธ.สภาฯ”ขณะที่ “สว.”จ่อชงญัตติให้ “วุฒิฯ” ถกปม “ดีเอสไอ-ยธ.” ปล่อยทุนเทา-นักโทษชั้น 14
เมื่อวันที่ 2 มี.ค.68 เมื่อเวลา 08.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร #EmpoweringThais" ตอนหนึ่งว่า ได้มีโอกาสไปลงพื้นที่ตรวจราชการที่ภาคใต้ ชาวบ้านบอกว่าสมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯเคยให้งบประมาณ 700 ล้านบาท เพื่อสร้างสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่จ.พัทลุง ลูกมาแล้ววันนี้ให้งบอีกแน่นอน (หัวเราะ) ชาวบ้านน่ารักมาก กดดันกันเลย ความจริงแล้วทุกจังหวัด ทุกที่ รัฐบาลต้องดูแลอยู่แล้ว ตนเป็นนายกฯไม่เลือกว่าจังหวัดไหน คุณพ่อเคยทำหรือไม่ ไม่เกี่ยวกัน ทุกที่ ทุกจังหวัดคือประเทศไทย ฉะนั้นนายกฯ จะต้องดูแลประเทศไทยให้ดีที่สุด อันนี้คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นไม่มีข้อต่อรอง ขอบอกพี่น้องทุกจังหวัดเต็มที่
“ก็ขอกำลังใจเยอะๆบางทีก็มีท้อบ้าง แต่ว่าไม่ท้อนานแน่นอน สู้ค่ะ ประเทศยังต้องการพัฒนา การผลักดันอีกเยอะ คนยังต้องการการสนับสนุนอีกเยอะ ดิฉันเองวันนี้ที่มีโอกาสเป็นนายกฯทำหน้าที่เต็มที่ที่สุด เพราะฉะนั้นปีแห่งโอกาส ทุกคนต้องมีความหวังและต้องได้รับโอกาสแน่นอน” นายกฯ กล่าว
ด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยมุ่งเป้าไปที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว ว่า ถือเป็นสิทธิของฝ่ายค้าน จะยื่นอภิปราย 10 รัฐมนตรี หรือจะอภิปรายนายกรัฐมนตรีท่านเดียว เอาที่สบายใจได้เลย แต่สิทธิดังกล่าวควรยึดอยู่บนพื้นฐานที่สร้างสรรค์ ไม่ควรเป็นการใช้แท็กติกเชิงลบทางการเมืองเพื่อบ่มเพาะความเกลียดชัง บั่นทอนด้อยค่าความน่าเชื่อถือของฝ่ายบริหาร การที่ฝ่ายค้านจะไปอภิปรายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยที่ท่านไม่ได้เป็นรัฐมนตรีและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับครม. ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพราะท่านถือเป็นบุคคลภายนอกและไม่มีสิทธิ์เข้ามาชี้แจงในสภาได้ นายทักษิณ ออกจากชั้น 14 ไปแล้วตั้งนาน แต่กลับเป็นฝ่ายค้านที่ขังตัวเองอยู่แต่ในชั้น 14 แล้วออกมาไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายค้านแบบไหนที่จะเอาเรื่องกับหมอที่รักษาคนไข้หาย
“ใจคอจะต้องให้ นายทักษิณ อาการทรุดลง แย่ลงหรือ ถึงจะพอใจฝ่ายค้าน ทุกฝ่ายควรใช้เวทีสภาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนให้มากที่สุด จะอภิปราย 5 วันหรือ 1 วันไม่ใช่ปัญหา สำคัญว่าคุณภาพของการ อภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน อยู่ในระดับใด ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์หรือไม่” นายอนุสรณ์ กล่าว
ที่รัฐสภา ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบความถูกต้องของญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ว่า ขณะนี้การตรวจสอบความถูกต้องของลายมือชื่อและเนื้อหาของญัตติได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เสนอแฟ้มให้กับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เพื่อให้พิจารณาบรรจุในระเบียบวาระแล้ว
เมื่อถามว่าในญัตติได้ระบุชื่อของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกมองว่าเป็นบุคคลภายนอก ตามข้อบังคับทำได้หรือไม่ ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ กล่าวว่า เป็นดุลยพินิจของประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ที่จะพิจารณาหากมีข้อกังวลในการอภิปราย
“การตรวจสอบไม่ได้เสนอให้ตัดข้อความใดในญัตติออก จึงเป็นการเสนอให้ประธานสภาฯ บรรจุญัตติในระเบียบวาระตามขั้นตอนปกติ ส่วนที่จะพิจารณาความเหมาะสมหรือไม่ เป็นดุลยพินิจของประธาน ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายบุคคล” เลขาธิการสภาฯ กล่าว
ส่วน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “6 เดือน รัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2568 เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาล ในรอบ 6 เดือน โดยเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกฯ แพทองธาร พบว่า ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น
ขณะที่ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2568” ระหว่างวันที่ 24-28 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เฉลี่ย 5.02 คะแนน ลดลงจากเดือนมกราคม 2568 ที่ได้ 5.06 คะแนน
ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 5.42 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล เฉลี่ย 4.59 คะแนน นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 46.08 ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 48.24 ผลงานฝ่ายรัฐบาลที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ ตัดไฟ-ตัดเน็ต แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ร้อยละ 43.64 ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ จี้ตัดไฟข้ามแดน ร้อยละ 45.23
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลดัชนีการเมืองเดือนกุมภาพันธ์ที่น่าสนใจ คือ ผลงานฝ่ายค้านคะแนนเพิ่มสูงขึ้นจากการตรวจสอบรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ส่วนคะแนนที่เกี่ยวกับผลงานรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นผลงานนายกฯ ผลงานรัฐบาล การทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ หรือการแก้ปัญหาต่าง ๆ มีคะแนนลดลง แม้ประชาชนจะพอใจผลงานปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแจกเงินหมื่น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะพยุงคะแนนขึ้นได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงควรเร่งสร้างผลงาน สื่อสารให้มากขึ้นทั้งในสภาและนอกสภา เพื่อสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการบริหารประเทศ
ด้านอาจารย์ ดร.งามประวัณ เอ้สมนึก อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตร์ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า หากพิจารณาภาพรวมดัชนีการเมืองไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่มีคะแนนลดลงเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนต่อการบริหารประเทศของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจและความโปร่งใสที่ยังคงเป็นข้อห่วงใยหลักของประชาชน รวมถึงการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้า การว่างงาน และปัญหาคอร์รัปชันที่ผลงานอาจยังไม่เข้าเป้าในสายตาของประชาชน
ส่วนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ยังคงอยู่ในความสนใจและถูกจับตามองของสังคม ขณะที่ฝ่ายค้านได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงบทบาทที่แข็งแกร่งมากขึ้นในการตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องการผลักดันให้ตัดไฟข้ามแดนและการชำแหละงบประมาณประกันสังคม ทั้งนี้ ผลงานการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านถือเป็นผลงานที่ได้รับความชื่นชมสูงสุดจากประชาชน
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมวุฒิสภา วันที่ 4 มี.ค. นี้ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย เสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.กลุ่มกฎหมาย และ คณะ
ทั้งนี้สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าว ได้ระบุโดยอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะ การดำเนินคดีพิเศษ ของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่พบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ
ญัตติระบุด้วยว่า เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนาและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
“นอกจากนี้ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ35” ญัตติระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าญัตติดังกล่าว พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ และ คณะ รวม 11 คน ได้ยื่นเสนอ ต่อกลุ่มงานญัตติ เมื่อ 26 ก.พ. เมื่อ 16.05 น. และได้รับการบรรจุในวาระประชุมทันที สำหรับ สว.ที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนญัตติดังกล่าวได้แก่ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ น.ส.อมร ศรีบุญนาค น.ส.อัจฉรพรรณ หอมรส นายเอนก วีระพจนานันท์ นายอภิชา เศรษฐวราธร นายชวภณ วัธนเวคิน นายชีวะภาพ ชีวะธรรม นายวิวัฒน์ รุ้งแก้ว พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา นายอภิชาติ งามกมล และ นายพรเพิ่ม ทองศรี