ปี 2025 นี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อันเนื่องมาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องปรับตัว เพื่อรองรับการทำงานและปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งนี้ เพื่อการทำงานที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเอกสารที่เปลี่ยนจากการใช้กระดาษมาเป็นแบบ Paperless การประชุมออนไลน์หรือแม้แต่การใช้ AI ในการทำงาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนแต่ส่งผลให้เกิดเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจ และกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการทำงานยุคดิจิทัลในอนาคตอีกด้วย มาทำความรู้จักกับเทรนด์การทำงานที่มาแรงประจำปี 2025 นี้กัน  

1. การทำงานแบบ Hybrid 

เริ่มต้นที่จากการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid) ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องกักตัวอยู่ที่บ้าน ขณะเดียวกันก็ยังจำเป็นต้องทำงานอยู่ จึงได้เกิดรูปแบบของการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ทำให้รูปแบบการทำงานที่ต้องเข้าออฟฟิศ 100% ได้เปลี่ยนไป เป็นการทำงานที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสถานที่อีกต่อไป แต่จะไปมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ของงานที่ออกมามากกว่า และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้องค์กรสามารถเปิดโอกาสให้พนักงานทำงานได้จากทุกที่ แม้ว่าจะอยู่คนละจังหวัดหรือแม้แต่คนละประเทศ 

การทำงานรูปแบบนี้ ทำให้พนักงานสามารถจัดสรรเวลาในการทำงานได้เอง มีความยืดหยุ่นและมีอิสระมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันว่า งานที่ออกมาจำเป็นต้องได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้นั่นเอง 

2. Coffee Badging

อีกหนึ่งเทรนด์ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากำลังมาแรงจริง ๆ นั่นก็คือ Coffee Badging ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่สะท้อนถึงการทำงานในปัจจุบันได้ดีเลยทีเดียว โดยพนักงานจะเข้าออฟฟิศ เพื่อพบปะกับเพื่อนร่วมงาน ระหว่างนั้นก็จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สร้างความสัมพันธ์กับคนในทีมพร้อมกับจิบกาแฟไปด้วย  ก่อนจะกลับไปทำงานในสถานที่ที่ตนเองสะดวก เทรนด์นี้แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับคุณภาพของการมีปฏิสัมพันธ์มากกว่าปริมาณเวลาที่ใช้ในออฟฟิศ และสะท้อนถึงความยืดหยุ่นในการทำงานที่มากขึ้น โดยจะพบเห็นได้มากขึ้นในปี 2025 นี้อีกด้วย   

3. ใช้ AI ประกอบการทำงาน 

ต้องยอมรับเลยว่า ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ในมุมของพนักงานก็อาจจะทำให้รู้สึกได้ว่า AI จะเข้ามาแย่งพื้นที่ในการทำงานไหม แต่จริง ๆ แล้ว ในปี 2025 นี้ การทำงานที่ดีจำเป็นต้องผสมผสานระหว่างความสามารถของมนุษย์และ AI โดยมันจะเข้ามาช่วยประสิทธิภาพในงานประจำวัน เช่น ในงานเขียน วิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้แต่การสรุปรายงาน หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเข้ามาช่วยทุ่นแรงในกระบวนการทำงานที่ต้องใช้เวลานานนั่นเอง 

4. ใส่ใจสุขภาพจิต 

การทำงานที่ดีในยุคใหม่ต้องหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตอย่างจริงจัง จะเห็นได้ว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา พนักงานรู้สึกหมดไฟ เกิดความเครียด ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง องค์กรชั้นนำจึงเริ่มลงทุนด้านสุขภาพจิตมากขึ้น ทั้งการจัดโปรแกรมบริหารความเครียด การให้ความยืดหยุ่นในการทำงานและการสนับสนุนบริการด้านสุขภาพจิตต่าง ๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีให้แก่พนักงานได้ 

5. ทักษะเฉพาะทาง  

การทำงานที่ดีในปี 2025 ไม่ได้วัดกันที่ใบปริญญาอีกต่อไป แต่วัดกันที่ทักษะเฉพาะทางที่ตรงกับความต้องการขององค์กร และสายอาชีพหรือไม่ ตัวอย่างเช่น พนักงานดีเด่นคนนี้เรียนจบวิศวกรรมมา แต่มาทำงานในสาย Marketing ดังนั้น ทักษะเฉพาะทางจึงกลายเป็นทักษะสำคัญที่ต้องมีติดตัว ประกอบกับการที่องค์กรหันมาจ้างงานตามทักษะมากกว่าวุฒิการศึกษา ส่งผลให้พนักงานที่ไม่มีปริญญาแต่มีทักษะตรงตามที่ต้องการ มีอัตราการอยู่กับองค์กรนานขึ้น การพัฒนาทักษะเฉพาะทางอย่างต่อเนื่อง จึงกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมองค์กรยุคใหม่อีกด้วย   

สรุปบทความ 

เทรนด์การทำงานในปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของการทำงาน ที่มุ่งเน้นการทำงานที่ดีผ่านความยืดหยุ่น การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด และการให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของพนักงาน องค์กรที่ต้องการประสบความสำเร็จจำเป็นต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทั้งการพัฒนาระบบการทำงานแบบไฮบริด การสนับสนุนการพัฒนาทักษะของพนักงาน และการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อสุขภาพกายและใจ เพื่อก้าวสู่อนาคตของการทำงานที่มีประสิทธิภาพ