ปัจจุบันวงการความงามมีทางเลือกมากมายในการแก้ไขปัญหาริ้วรอย การเลือกระหว่างฟิลเลอร์และโบท็อกซ์จึงเป็นคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย เพราะต่างก็มีจุดเด่นในการแก้ปัญหาผิวที่แตกต่างกัน วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยและเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัด ๆ ว่า ควรเลือกฉีดตัวใดตัวหนึ่ง หรือควรฉีดทั้งคู่เลย
ทำความรู้จักฟิลเลอร์และโบท็อกซ์
ฟิลเลอร์ คือสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย ทำหน้าที่เติมเต็มร่องลึกและเพิ่มปริมาตรให้ผิว โดยสามารถอยู่ในร่างกายได้ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้น
โบท็อกซ์ คือสารที่สกัดมาจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ทำงานด้วยการยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของใบหน้า มีระยะเวลาอยู่ในร่างกายประมาณ 3-6 เดือน
จุดเด่นของฟิลเลอร์และโบท็อกซ์
การเลือกระหว่างฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข มาดูจุดเด่นของแต่ละตัวกัน
ฟิลเลอร์แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึก เพิ่มปริมาตร และปรับรูปหน้าให้สมดุล สามารถแก้ไขปัญหาร่องลึก รอยย่น จุดที่บางหรือแบนได้ เช่น ใต้ตา ร่องแก้ ริมฝีปาก คาง หน้าผาก เป็นต้น โดยให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีด
โบท็อกซ์ช่วยเรื่องอะไร
โบท็อกซ์ช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยตีนกา รอยย่นหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว นอกจากนี้ยังช่วยยกกระชับใบหน้า ลดการเกร็งของกราม และรักษาอาการเหงื่อออกมากเกินไปได้
ความแตกต่างของผลลัพธ์
ฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ด้านการเติมเต็มและเพิ่มปริมาตรที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที ในขณะที่โบท็อกซ์จะเห็นผลการลดเลือนริ้วรอยชัดเจนหลังฉีด 3-7 วัน โดยฟิลเลอร์เหมาะกับการแก้ไขปัญหาโครงสร้างใบหน้า ส่วนโบท็อกซ์เหมาะกับการลดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์
ฉีดฟิลเลอร์และโบท็อกซ์พร้อมกันได้ไหม
สามารถฉีดพร้อมกันได้ เพราะทั้งสองตัวทำงานต่างกัน แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อวางแผนการฉีดให้เหมาะสม โดยทั่วไปแพทย์มักแนะนำให้ฉีดโบท็อกซ์ก่อน แล้วจึงตามด้วยฟิลเลอร์เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมชาติ
อาการข้างเคียงต่างกันอย่างไร
ฟิลเลอร์อาจทำให้เกิดรอยช้ำ บวม หรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด ในบางกรณีอาจมีก้อนแข็งใต้ผิวหนัง ส่วนโบท็อกซ์อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดอ่อนแรงชั่วคราว เกิดรอยช้ำ หรือหนังตาตก ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
ระยะเวลาในการฟื้นตัว
ฟิลเลอร์ใช้เวลาฟื้นตัว 2-3 วัน อาจมีรอยบวมช้ำในช่วงแรก แนะนำให้ประคบเย็นและหลีกเลี่ยงการนวดบริเวณที่ฉีด ส่วนโบท็อกซ์ใช้เวลาฟื้นตัว 3-7 วัน ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักและการนอนคว่ำในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
ใครควรเลือกฉีดฟิลเลอร์
สำหรับคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาโครงสร้างใบหน้าและเพิ่มปริมาตรผิว ฟิลเลอร์เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
- ปัญหาที่แก้ได้ด้วยฟิลเลอร์
- ร่องแก้มลึกและรอยย่นรอบปาก
- ริมฝีปากบางต้องการเพิ่มปริมาตร
- ปลายคางสั้นหรือเรียวไม่สวย
- โหนกแก้มแบนต้องการเพิ่มมิติ
- รอยหลุมสิวลึก
- จุดฉีดยอดนิยม
บริเวณที่นิยมฉีดฟิลเลอร์มากที่สุดคือ ร่องแก้ม ริมฝีปาก คาง และใต้ตา โดยแต่ละจุดจะใช้ความเข้มข้นของฟิลเลอร์แตกต่างกันตามความเหมาะสม แพทย์จะพิจารณาจากสภาพผิวและความต้องการของผู้รับบริการ - ราคาโดยประมาณ
ราคาฟิลเลอร์เริ่มต้นที่ 10,000-30,000 บาทต่อซีซี ขึ้นอยู่กับแบรนด์และปริมาณที่ใช้ จุดฉีด และโปรโมชันในแต่ละช่วงของสถานเสริมความงามด้วย โดยทั่วไปการฉีด 1 ครั้งอาจใช้ 1-3 ซีซีตามพื้นที่และความต้องการ
ใครควรเลือกฉีดโบท็อกซ์
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และต้องการผลลัพธ์ในการลดเลือนริ้วรอยแบบธรรมชาติ
- ปัญหาที่แก้ได้ด้วยโบท็อกซ์
- รอยตีนกาและริ้วรอยรอบดวงตา
- รอยย่นหน้าผากและระหว่างคิ้ว
- กรามใหญ่จากการเกร็งกล้ามเนื้อ
- เหงื่อออกมากเกินไป
- รอยย่นคอและลำคอ
- จุดที่นิยมฉีด
ตำแหน่งที่นิยมฉีดโบท็อกซ์ ได้แก่ หน้าผาก หางตา บริเวณคิ้ว กราม และคอ ซึ่งเป็นจุดที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบ่อย การฉีดจะช่วยลดการหดเกร็งและป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ - ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียม
ราคาโบท็อกซ์เริ่มต้นที่ 10,000-20,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับจำนวนยูนิตและจุดที่ฉีด
สรุปบทความ
การเลือกระหว่างฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข ฟิลเลอร์เหมาะกับการเติมเต็มและเพิ่มปริมาตร ในขณะที่โบท็อกซ์เหมาะกับการลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ทั้งสองตัวสามารถใช้ร่วมกันได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล