"ฉายแสง"นำห่างคู่แข่งแบบไม่ติดฝุ่นผลคะแนนเป็นไปตามคาด จากพลังบารมีบ้านใหญ่ทั่วทิศทั้งจังหวัดมัดรวมหนุนให้ได้นั่งเก้าอี้นายก อบจ.แปดริ้ว ขณะคู่แข่งคนสำคัญไม่ขยันลงย่ำเดินในสนามหาคะแนนเสียง ด้านผู้สมัครหน้าใหม่ไร้ชื่อเสียงแบบโนเนมไล่ตีตื้นตามหลังเฉียดได้ลำดับที่ 2 เหตุมีนโยบายดีทั้งยังขยันลงพื้นที่ขอคะแนน แต่เวลาในการเผยแพร่แผนงานลงสู่ชาวบ้านทำได้ยากจากเวลาที่มีจำกัด

วันที่ 1 ก.พ.68 เวลา 22.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานถึงผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายก อบจ.ฉะเชิงเทราอย่างไม่เป็นทางการ และผ่านการนับรวมคะแนนมาได้แล้วประมาณร้อยละ 93 ผลปรากฏว่า นายกลยุทธ ฉายแสง ผู้สมัครกลุ่มรวมใจพัฒนา หมายเลข 1 อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรากว่า 5 สมัย น้องชายคนรองของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ ได้คะแนนนำโด่งสูงถึง 172,203 คะแนน

ขณะที่นายพนธ์ มรุธพงษ์สาธร ผู้สมัครโนเนมหน้าใหม่ในสนามไม่มีสังกัดกลุ่ม หมายเลข 2 ได้คะแนน 42,760 คะแนน ส่วนผู้สมัครหมายเลข 3 คือ นายธรรมชาติ พรมพิทักษ์ อดีต สจ.คนดัง อดีตประธานสภา อบจ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งถือเป็นคู่แข่งที่พอมีชื่อเสียง ได้คะแนน 69,212 คะแนน ซึ่งถือเป็นผลคะแนนที่มีแนวโน้มว่าผู้สมัครหมายเลข 1 จะชนะได้อย่างขาดรอย เป็นว่าที่นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา คนต่อไป

ซึ่งชัยชนะในครั้งนี้เป็นไปตามความคาดหมายของคนในสังคมและวงนักวิจารณ์ทางการเมือง เนื่องจากนายกก้อย หรือนายกลยุทธ ฉายแสง นั้นเป็นคนการเมืองในตระกูลใหญ่ในพื้นที่ และยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มการเมืองคนบ้านใหญ่หลายหลัง ที่อยู่ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ที่ได้เคยประกาศรวมพลังให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการออกมาทางสื่อสังคมออนไลน์ และสื่อกระแสหลักได้มีการนำเสนอข่าวกันอย่างกว้างขวางในช่วงก่อนหน้า

ขณะที่นายธรรมชาติ พรมพิทักษ์ แกนนำกลุ่มพลังใหม่แปดริ้ว ซึ่งถือเป็นคู่แข่งที่พอวัดบารมีได้บ้างในระดับหนึ่งนั้น กลับไม่ทำการบ้านหรือเดินย่ำเท้าลงพื้นที่เพื่อหาเสียง ขอคะแนนจากประชาชนในสนาม จึงทำให้เสียโอกาสในการทำคะแนนมาโดยตลอดช่วงระยะเวลาของการหาเสียง หลังการปิดการรับสมัคร

ส่วนนายพนธ์ มรุธพงษ์สาธร นั้นยังถือว่าเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ทางการเมืองในสนามเลือกตั้งนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา แม้จะมีนโยบายในการพัฒนาพื้นที่ ที่น่าสนใจ และยังขยันลงพื้นที่ทำคะแนนในการย่ำเท้าขอคะแนน แต่ด้วยเวลาในการหาเสียงที่มีอยู่เพียงจำกัด จึงไม่สามารถที่จะนำเสนอนโยบายไปสู่ประชาชนจำนวนหลายแสนคนให้ทราบทั่วถึงกันได้ แต่ก็ยังทำคะแนนไล่หลังผู้สมัครที่ได้อันดับที่ 2 มาแบบไม่ห่างมากนัก