สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ ...*...
การใส่เกียร์ถอย ล้มเลิกการแต่งตั้งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีคลัง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ สะท้อนให้เห็นถึงความหวั่นไหวของพรรคเพื่อไทยที่พร้อมหลีกเลี่ยงทุกความเสี่ยงต่อเก้าอี้นายกฯของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ...*...
กระนั้น คงไม่อาจช่วยลดอุณหภูมิการเมืองได้เท่าไร เพราะวันนี้ไม่เพียงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯจะออกโรงมาเล่นบทเรียกแขกตลอดเท่านั้น ม็อบมือตบก็มีโอกาสลงถนนได้ทุกเมื่อเช่นกัน ...*...
ขณะที่สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยชี้เป็นชี้ตายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเองก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะอยู่ที่ 2.6% ชะลอลงเล็กน้อยจากปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวดีกว่าปีที่ผ่านมา แต่ระดับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงต่ำสุดในภูมิภาค และต่ำกว่าศักยภาพเดิมในอดีต ...*...
ที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อมองไปข้างหน้า ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจาก การบริโภคภาคเอกชนเติบโตชะลอลง แม้หนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 89.6% ของจีดีพี ต่ำสุดในรอบ 4 ปี แต่กลับมีสาเหตุหลักจากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงิน สะท้อนจากการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยของธนาคารพาณิชย์ที่มีทิศทางชะลอลงต่อเนื่อง โดยล่าสุดสินเชื่อรายย่อยไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 หดตัว 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เก็บข้อมูลในปี 2540 โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถที่หดตัวสูงถึง 9.1% โดยสินเชื่อรายย่อยคาดว่าจะมีแนวโน้มทรงตัวจากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และคุณภาพสินเชื่อรายย่อยที่มีแนวโน้มกลายเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลบวกชั่วคราวจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคค่อนข้างจำกัด โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบีเห็นว่าตัวทวีคูณ (Multiplier Effect) ต่อระบบเศรษฐกิจจากมาตรการแจกเงิน (ดิจิทัล) ในปี 2568 มีค่อนข้างน้อยเพียง 0.7-1.0% ของจีดีพี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการแจกเงินดิจิทัลในเฟสที่ 3 เป็นหลัก เนื่องจากมาตรการแจกเงินในเฟส 2 เป็นการแจกเงินให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุ 4 ล้านคน (ภายในเดือนมกราคม 2568) ที่ส่วนใหญ่เน้นใช้เงินไปกับการใช้หนี้และเก็บออม ขณะที่กลุ่มหลักจะอยู่ที่เฟส 3 ที่เป็นการแจกเงินดิจิทัลเจาะจงกลุ่มเปราะบางทั่วไปถึง 13.6 ล้านคน (โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568) ...*...
อีกทั้งแรงส่งการเติบโตที่มาจากภาคท่องเที่ยวและบริการลดลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าใกล้ระดับปกติมากขึ้น โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบ ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจาก 35.5 ล้านคนในปี 2567 เป็น 37.8 ล้านคนในปี 2568 หรือเติบโตเพียง 6.5% ทั้งนี้ หากพิจารณาควบคู่ในมิติของรายได้นักท่องเที่ยวก็เริ่มมีข้อจำกัดเช่นกัน แม้รายได้ของนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยจะเพิ่มขึ้นจนแตะระดับในปี 2562 แต่ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยด้านราคาห้องพัก ทั่วประเทศที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงเกือบ 30% ทำให้รายจ่ายของนักท่องเที่ยว 1 ใน 3 อยู่ในหมวดโรงแรมที่พักเพิ่มสูงขึ้นตาม นั่นหมายความว่า เพดานรายจ่ายของนักท่องเที่ยวโดยรวมในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มตึงตัวขึ้น ...*...
ซ้ำร้ายการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอลง ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ชะลอตัวลง ประกอบกับอานิสงส์จากการเปลี่ยนเส้นทางการค้า (Trade Diversion) ของผู้ผลิตจีนที่ใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะเริ่มลดลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เนื่องจากไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากแนวนโยบายการค้าของทรัมป์จากการที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับคู่ค้าสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน (รองจากเวียดนาม) และสูงถึง 7.9% ของจีดีพีเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ผลพวงจากอุปทานส่วนเกินของสินค้าจากจีนที่จะระบายมายังไทยเพิ่มเติม จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตไทยให้ทวีความรุนแรงขึ้น กระทบความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว สะท้อนจากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม รายไตรมาสที่หดตัว 8 ไตรมาสต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization : CapU) ก็อยู่ในระดับต่ำกว่า 60% เป็นเวลานาน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ รวมถึงการผลิตโลหะขั้นมูลฐาน (เหล็กและเหล็กกล้า) ที่กำลังสูญเสียกำลังการผลิตต่ำกว่าระดับปกติมากถึง 30-40% ...*...
สรุปแล้วทั้งสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจในปีหน้า ดูจะไม่เป็นคุณกับรัฐบาลเท่าไร หากรับมือไม่ดี อาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง ...*...
ที่มา:เจ้าพระยา (26/12/67)