ดีเอสไอเผยสำนวนคดี ดิไอคอน เสร็จ 80% ผงะเอกสารมีกว่า 3 แสนแผ่น เต็ม 1 ห้องใหญ่ พร้อมเดินหน้าเร่งส่งสำนวนฟ้อง 18 ราย-1 นิติบุคคล เสนออัยการ 20 ธ.ค.นี้ ก่อนขยายผล แม่ข่ายเฟส 2 แย้มรวบรวมพยานหลักฐาน เจอผู้กระทำผิดโยงคดีสามารถเพิ่ม ด้าน บอสพอล โวยเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ถามผมผิดอะไร 

         ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.67 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงความคืบหน้าคดี บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ว่า อยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวน ซึ่งเราต้องเร่งรัดทำสำนวนและเสนอความเห็นต่ออัยการเพื่อให้เสร็จทันก่อนที่จะครบกำหนดฝากขังหลังวันที่ 20 ธ.ค.67

         ขณะนี้สำนวนมีความสมบูรณ์แล้วประมาณ 80% โดยมีเอกสารประมาณ 3 แสนแผ่น มีเอกสารเต็ม 1 ห้องใหญ่ โดยจะต้องมีการเรียบเรียงเอกสารและทำบัญชีวิเคราะห์ความเสียหายของแต่ละคนว่าเป็นจำนวนเท่าใด ต่อจากนั้นจะทำการหารือของคณะพนักงานสอบสวน ก่อนที่จะสรุปสำนวนเสนอต่ออัยการในวันที่ 20 ธ.ค.67 ในส่วนการให้ปากคำพยานหลักฐานของฝ่ายผู้ต้องหาหรือฝั่งดิไอคอน หรือผู้ที่ต้องการจะแก้ข้อกล่าวหาได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานไว้หมด เราต้องนำเอกสารทั้งหมดไปพิจารณา พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าว

         ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการออกหมายจับผู้ต้องหาล็อตที่ 2 เพิ่มเติมในส่วนของแม่ข่ายอีกหรือไม่ พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า เชื่อว่าน่าจะมีผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก เพราะว่าจะต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่ม ซึ่งในเรื่องนี้เราเน้นผู้ต้องหาในชุดแรก 18 ราย กับ 1 นิติบุคคลเพื่อให้ส่งสำนวนทันกับระยะการควบคุมฝากขัง เป็นความเร่งด่วนในชั้นต้น แต่ในส่วนที่จะขยายผลเป็นเรื่องเฟส 2 ต่อไป และฟอกเงินก็จะตามมา

         พ.ต.ต.ยุทธนา ยังกล่าวถึงความคืบหน้าคดีของนายสามารถ ว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เบื้องต้นคดีนี้พบว่ามีผู้กระทำความผิดเพิ่ม แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีเพิ่มกี่ราย
       
  วันเดียวกัน  เพจเฟซบุ๊ก "วรัตน์พล วรัทย์วรกุล (บอส พอล)" ของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ "บอสพอล" ซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ถูกดำเนินคดีฐานร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงิน และ แชร์ลูกโซ่ ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ระหว่างการพิจารณาคดี กับบรรดาบอส ดิไอคอน รวม 18 คน ตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.67 ได้มีการโพสต์ข้อความ ระบุว่า ผมอยู่ในเรือนจำมาจนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนแล้ว การใช้ชีวิตในเรือนจำ "ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย" สำหรับคนที่เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตัวเองแบบผม ผมเฝ้าถามตัวเองทุกๆ วันว่า "ผมผิดอะไร".. "ผมทำอะไรผิด" ถึงต้องเข้ามาอยู่ในนี้ อยู่แบบ "ไร้อิสรภาพ" และยังคงรอได้รับการประกันตัวออกไป เพื่อพิสูจน์ให้สังคมได้รับรู้ "ความจริง" จากปากของผมเอง ซึ่งเป็นคนที่ยังคงเชื่อในกระบวนการยุติธรรมและพร้อมต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม
       
  วันนี้ผมต้องถามตัวเองอีกครั้งว่า ผมกำลังสู้กับอะไรกันแน่? ผมต้องสู้อยู่ในนี้ในที่ ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก โดยไม่รู้ข่าวสารต้องเฝ้าถามและรอคอย คำตอบจากคำบอกเล่าของทนายที่เข้ามาเยี่ยมได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งในแต่ละวัน ผมบอกเล่าข้อเท็จจริงฝากทนายความอ๋อง เพื่อไปสู่โลกภายนอก โดยการสื่อสารผ่านไปหลายทอด ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่มีทางที่จะได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน มันไม่มีทางที่จะเหมือนคำพูดของผมที่ถ่ายทอดเองโดยตรงออกมาจากใจแน่ๆ
       
  ผมกังวลในทุกๆ ครั้งที่ต้องสื่อสารอะไรก็ตาม ผ่านการใช้ปากของคนอื่น แต่ผมจะทำได้อย่างไรในเมื่อผมไม่มีทางเลือกอื่น ยังไงผมก็ต้องสู้ ทั้งๆ ที่ความจริงมันเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก ปากกาซักด้าม กระดาษซักแผ่น มันคือของที่หาได้ยาก เพื่อให้เขียนลำดับเหตุการณ์ แล้วนำไปบอกเล่าให้ทนายความได้เข้าใจความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น คนที่ถูกจำกัดอิสรภาพแล้ว ต้องลุกขึ้นมาสู้ เพื่อทวงความยุติธรรรมให้ตัวเอง มันคือการถูกบีบบังคับ ให้สู้ในขณะที่เสมือนถูกมัดมือ มัดเท้า และปิดหู ปิดตา แล้วบอกว่า "สู้สิ" นี่แหล่ะ ความยุติธรรรมที่ผมกำลังเผชิญ
       
  การสู้อยู่ในคุก มันยากเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการออกได้ แค่การหาพื้นที่ว่าง สำหรับการหย่อนก้นกันเพื่อนั่งลงให้พันจากผู้คนผู้ต้องขังหรือนักโทษจำนวนมาก ที่แออัดกันอยู่ในนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว การจะหาที่เงียบๆ เพื่อเขียนอธิบายสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะได้เห็นข้อความนี้ปรากฏอยู่บน Facebook ของผมแล้ว ผมได้พยายามอย่างที่สุดแล้วจริงๆ ในการกลั่นข้อความบอกผ่านทนายทีละตัวอักษรเพื่อสื่อสารออกมาหาทุกๆ คน ขอให้ทุกๆ คน ตั้งใจอ่านสิ่งที่ผมจะบอกต่อจากนี้ให้ดีๆ นะครับ
        
 ความจริงคือ "คดีนี้ไม่มีผู้เสียหายเลยแม้แต่คนเดียว" คำถามที่คุณต้องถามเพื่อค้นหาความจริงด้วยตัวคุณเอง มีใครสักคนไหมที่ซื้อสินค้าจากบริษัทแล้วไม่ได้สินค้า มีใครสักคนไหมที่ขายของมีกำไรในระบบแล้วบริษัทไม่จ่ายเงินให้ มีใครสักคนได้โปรโมชั่นทริปท่องเที่ยวแล้วบริษัทไม่พาไปเที่ยว แล้วคุณจะพบความจริงที่ว่า "ไม่มีเลยสักคน " ตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่บริษัทดำเนินธุรกิจมา และไม่มีปรากฏในคำกล่าวหาของตำรวจในคดีนี่ด้วยครับ นั่นคือความจริงที่สรุปได้ว่า ซื้อสินค้าก็ได้สินค้า ทำงานก็ได้เงินและได้ผลตอบแทนอื่นๆ ตามที่บริษัทสัญญาไว้ แต่ก็ยังถูกกล่าวหาว่า "ผมฉ้อโกงประชาชน" อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณสงสัยมั้ยครับว่าแล้วทำไมถึงมีคนออกมาแจ้งความเป็น 10,000 คน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังในจดหมายฉบับต่อไป..