"เอกนัฏ" เอาจริงปฏิรูปอุตสาหกรรม ลดพิษสิ่งแวดล้อม สร้างแต้มต่อเศรษฐกิจไทยยุคใหม่

เมื่อวันที่ 28 พ.ย.67 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ วาระครบรอบ 71 ปี นิตยสารสยามรัฐ สัปดาหวิจารณ์ หัวข้อเดินหน้าประเทศไทยว่า ถ้าถามว่าตอนนี้ประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปทางไหน ก่อนตอบคำถามนี้ให้มองดูถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก วันนี้เศรษฐกิจไทยและโลกเจอผลกระทบจากโควิด-19 ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ไม่ทันตั้งตัว กว่าจะได้วัคซีนก็ต้องใช้เวลานาน ถึงวันนี้ปัญหาก็ไม่หมด ผลกระทบยังมาถึงวันนี้ ยอดหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นกระทบไปทุกภาคส่วน วันนี้เราอยู่ในการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีใหม่ๆที่เกิดขึ้นเร็วมาก

โดยผลกระทบดังกล่าวได้กระทบอุตสาหกรรมหลักของไทย นั่นคืออุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการนำไฟฟ้ามาเป็นพลังงานขับเคลื่อนรถยนต์ ในวงการรถยนต์ไม่เคยเชื่อว่ารถยนต์จะใช้พลังงานไฟฟ้ามาตีตลาด ยอดรถยนต์สันดาปตก กระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์ อีกทั้งยังมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซียกับยูเครน สงครามอิสราเอล มีแรงกดดันประทุความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยังมีสงครามการค้าที่มาสร้างปัญหาให้เศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นอีก กระทบความเชื่อมั่นการลงทุน ทุกคนไม่ซื้อของเหมือนเดิม ทำให้การค้าโลกฝืดเคือง 

ขณะเดียวกันโลกยังเจอโจทย์ใหม่คือ เรื่องสิ่งแวดล้อม เกิดน้ำท่วมเชียงใหม่ เชียงราย น้ำท่วมในจุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อากาศโลกแปรปรวนมากขึ้น ขณะนี้ภาคใต้เกิดน้ำท่วมหนักในจุดที่ไม่เคยเกิดขึ้น เกิดความท้าทายใหม่ ทั่วโลกเห็นควรต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุอะไรมากขึ้นไปอีก มีเกณฑ์ใหม่ๆในการค้าขายเช่นภาษีคาร์บอน หรือภาคการเกษตร แหล่งที่มาทำลายป่าไม้หรือไม่ ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่เราต้องผ่านไปให้ได้ สิ่งแวดล้อมกระทบเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจก็กระทบสิ่งแวดล้อมเช่นกัน เราต้องปรับตัวให้ทัน ถ้าทำได้แทนที่จะเป็นภาระ แต่จะเป็นแต้มต่อให้เศรษฐกิจไทย จึงจับมือภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคประชาชนเพื่อทำให้ไทยมีแต้มต่อมากกว่าถูกกดดัน

นอกจากนี้ตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่งได้จับกุมการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมและการจัดการกากพิษที่ไม่ถูกต้อง นำไปสู่การรั่วไหลแพร่กระจายของสารมลพิษปนเปื้อนในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดความเสียหายและส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน จึงได้สั่งการให้เร่งปฏิรูปอุตสาหกรรม ด้านการจัดการกากสารพิษ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าแก้ไขกฎหมายเพิ่มโทษ เพื่อให้เกิดความเกรงกลัวในการกระทำผิด ให้ผู้ลักลอบทิ้งเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเติบโตอย่างยั่งยืน อีกทั้งให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการทำงาน อย่าได้เกรงกลัวต่ออิทธิพล หรือผู้มีอำนาจใดๆ พร้อมกันนี้ชื่นชมภาคอุตสาหกรรมที่ให้ความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในการแก้ไขปัญหาสารเคมีรั่วไหลและสถานการณ์ฉุกเฉิน ลดผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ผมจะต่อสู้กับปัญหาขยะพิษที่ทำร้ายชีวิตประชาชน ไม่อ่อนข้อให้ผลประโยชน์ ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพล 

"ได้จับกุมผู้ทำผิดทุกวันตั้งแต่วันแรกที่มารับตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรมที่ทำให้ประเทศไทยตกเป็นจำเลยของโลก กระทบท่องเที่ยว วันนี้จับทุกวัน มีทีมสุดซอย แต่ยังไม่หมด ดังนั้นจะมีการออกกฏหมายใหม่ๆมากขึ้น เพื่อให้ปัญหานี้หมดไป จะทำให้เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเดินไปพร้อมกันให้ได้ เข้าสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่"

ทั้งนี้ตั้งแต่ตนเป็น รมว.อุตสาหกรรม ได้ปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมต่อจากนี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องใส่ใจคือ การสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน  สำหรับการปฏิรูปที่ 1 การจัดการกาก สารพิษ ที่ทำร้ายชีวิตประชาชน โดยปรับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ เพื่อคืนน้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ให้ประชาชน โดยการแก้ไขกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืน การเพิ่มโทษอาญา การปฏิรูปที่ 2 Save อุตสาหกรรมไทย สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SMEs บังคับใช้กฎหมายกับสินค้าต่างชาติที่ไม่ได้มาตรฐานที่ทะลักเข้าไทย สนับสนุนอุตสาหกรรมต่างชาติลงทุนในไทย รวมถึงยกระดับขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ การปฏิรูปที่ 3 การสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่รองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ปรับเปลี่ยนสายการผลิตและเทคโนโลยีในประเทศ ยกระดับผลิตภาพการผลิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ก้าวทันโลก ยกระดับผลิตภาพด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่