เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 21 พ.ย. 67 ที่ห้อง Ballroom 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานสัมมนา PRACHACHAT THAILAND 2025 โอกาส,ความหวัง,ความจริง และกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ประเทศไทย : โอกาส- ความหวัง-ความจริง” โดยมี นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ร่วมด้วย 

 

เมื่อมาถึงนายกฯได้เยี่ยมชมบูธหนังสือของสำนักพิมพ์มติชน และได้เลือกซื้อหนังสือไปทั้งหมด 8 เล่ม อาทิ หนังสือสมรภูมิพลิกอำนาจโลก หนังสือบ๊อคบ๊อคตะลุยเมืองตัวเลขแสนหรรษา หนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่น เป็นต้น 

 

จากนั้นนายกฯกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ประเทศไทย : โอกาส- ความหวัง-ความจริง” มีเนื้อหาสรุปว่า รัฐบาลพยายามสร้างโอกาสที่จับต้องได้ให้กับประชาชนคนไทย เพราะเรามองเห็นศักยภาพของคนไทยที่มีอยู่สูงแต่บางทีเข้าไม่ถึงโอกาส เราจะเข้ามาผลักดันตรงนี้ และสิ่งที่รัฐบาลจะทำเป็นอย่างแรกคือกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนไทยกินอยู่สบาย เพราะถ้าปากท้องอิ่ม ศักยภาพในตัวก็จะออกมา ยืนยันเราจะขยายโอกาสให้มากที่สุดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้สูงกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งมาจากการลงทุนภาครัฐ และตัวเลขนักท่องเที่ยว ที่พุ่งไปถึง 36 ล้านคน ที่มากกว่าปีที่ผ่านมา 28 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิดที่หายไป มาตรการฟรีวีซ่า และรัฐบาลจะเร่งผลักดัน Smart Airport และปีหน้าเราคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะสูงกว่าที่มีการตั้งเป้าไว้

 

นายกฯ กล่าวว่า จากการเดินทางไปประชุมประเทศต่างๆ ต่างชาติสนใจลงทุนในเมืองไทย ถ้าการเมืองเรามีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น นักธุรกิจและต่างชาติจะมั่นใจในการลงทุน ตนมีหน้าที่ไปบอกทุกคนถึงความเชื่อมั่นตรงนี้ว่าเราจะสามารถอยู่จนครบเทอมจนมีการเลือกตั้งได้ และเราจะเดินหน้านโยบายที่ประกาศไว้ไม่ให้สะดุด และการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา ที่ได้ประธานาธิบดีคนใหม่หลายฝ่ายมองว่ามาตรการทางเศรษฐกิจเขาจะพุ่งเป้าไปยังประเทศที่เขาขาดดุล ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้นเพราะจีดีพีของประเทศเราอยู่ที่การส่งออก 60% เป็นของสหรัฐอเมริกาถึง 10% ถือว่ามากที่สุด เราจะเตรียมมาตรการรองรับว่าเราจะปรับสมดุลอย่างไรไม่ให้เสียโอกาสของประเทศ ขณะที่ในส่วนของประเทศจีนที่มองกันว่าเราอาจจะสู้เรื่องการผลิตของเขาไม่ได้ เราจะใช้มาตรการด้านภาษีและกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อช่วยการค้าขายออนไลน์รวมถึงเอสเอ็มอีของเรา และหากมองภาพรวมประเทศจีนพื้นที่การเกษตรของเขาไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศต้องพึ่งสินค้าการเกษตรจากประเทศอื่นและไทยมีจุดแข็งตรงนี้ เราต้องมาช่วยทำให้เกษตรกรไทยแข็งแรงมากขึ้น นำเทคโนโลยีถนอมอาหารเข้ามาเสริมตรงนี้

 

นายกฯ กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้เราก็ต้องหาเม็ดเงินใหม่ๆเข้าประเทศ ต้องดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามา เรามี3ทางรอดคือ 1.โอกาสเรื่องอาหารของไทยที่มีความแข็งแรง ทุกคนมองไทยเป็นครัวโลก เราจะนำเทคโนโลยีถนอมอาหารเข้ามาส่งเสริมตรงนี้ เพื่อให้อาหารไทยสามารถส่งออกไปและคุณภาพยังเหมือนเดิม 2. โอกาสด้านอุตสาหกรรมสุขภาพ จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่พัฒนาเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ทั่วโลกยอมรับและอยากทำตาม การรักษาพยาบาลในประเทศไทยมีชื่อเสียงในต่างประเทศ หลายคนอยากเข้ามารักษาตรงนี้ เราต้องร่วมกันพัฒนาให้ไทยเป็นฮับด้านสุขภาพ ต้องทำให้ทั่วโลกคิดว่าอยากรักษาสุขภาพต้องมาที่ประเทศไทย และ3.เรื่องซอฟพาวต์เวอร์ เรามีวัฒนธรรมที่ต่างชาติให้ความสนใจ เราพยายามผูกทุกเทศกาลไว้ด้วยกัน และให้ต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวได้ทั้งปีให้เขาอยู่เมืองไทยนานขึ้นและใช้เม็ดเงินในไทยนานขึ้น อีกอย่างที่ต่างชาติให้การสนใจคือการใช้ไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งปีที่ผ่านมามีเม็ดเงิน เข้ามาในประเทศถึง 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เราสนับสนุนตรงนี้เพื่อดึงเม็ดเงินเข้ามา อีกทั้งต่างชาติชื่นชอบในหนังไทยอย่างเช่นเรื่องหลานม่า รวมถึงมวยไทยก็เป็นที่ชื่นชมในต่างประเทศ ประเทศอังกฤษมีค่ายมวยกว่า 40,000 ค่าย เราจะผลักดันตรงนี้เพื่อสร้างรายได้ให้คนไทย และรัฐบาลพยายามจะสร้างฮีโร่ในทุกอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์เพื่อไปคุยกับใครเราจะภูมิใจ เวลาไปคุยกับใครทั่วโลกว่าประเทศไทยมีคนเก่ง 

 

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องพลังงาน อย่างในอ่าวไทยมีการประเมินว่าก๊าซจะใช้ได้อีก 10 ปี ก๊าซจะหมดไป ฉะนั้นอย่างที่เป็นกระแสกันอยู่ในเรื่อง MOU44 ที่เราจะคุยกับกัมพูชา เราต้องคุยกันว่าเราจะแบ่งใช้ก๊าซธรรมชาติร่วมกันอย่างไร ซึ่งทำให้เราต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพูดคุย เกาะกูดไม่เกี่ยว ไม่ใช่   ซึ่งเกาะกูดเป็นของเราอยู่แล้ว 

 

น.ส.แพทองธาร กล่าวด้วยว่า สุดท้ายนี้รัฐบาลขอฝากว่าจะมีการแถลงสิ่งที่ได้ทำมาในรัฐบาลนี้ประมาณ 90 วัน ในวันที่ 12 ธ.ค. จะมีนโยบายดีๆมาเล่าให้ฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอีก และของขวัญปีใหม่รัฐบาลจะมอบอย่างไรให้ประชาชนบ้าง ขอให้ติดตาม